BeDee

รู้จักโรคซึมเศร้า วิธีสังเกตอาการ สาเหตุ และการดูแลจิตใจ

Disclaimer: ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถทดแทนการให้คำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง

Key Takeaways

  • โรคซึมเศร้าเกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง 3 ชนิด คือ ซีโรโตนิน (Serotonin), นอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) และโดปามีน (Dopamine) 
  • อาการที่พบบ่อย เช่น ซึมเศร้าแทบทั้งวัน สิ้นหวัง หมดความสนใจในสิ่งที่เคยชอบ นอนไม่หลับ หรือหลับมากเกินไป กระวนกระวาย เชื่องช้า อ่อนเพลีย ไม่มีแรง และอาจมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย
  • หากสงสัยว่าเสี่ยงต่อโรค หรือมีความกังวลใจ เครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับ สามารถรักษาได้ด้วยการปรึกษาจิตแพทย์
สารบัญบทความ

โรคซึมเศร้าคืออะไร?

โรคซึมเศร้า (Depression) เกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง 3 ชนิด คือ ซีโรโตนิน (Serotonin), นอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) และโดปามีน (Dopamine) สามารถเกิดได้จากพันธุกรรม เช่น ผู้ป่วยที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคทางด้านอารมณ์ จะมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าคนทั่วไป และเกิดจากสภาพแวดล้อม การเลี้ยงดูของครอบครัว ซึ่งตัวกระตุ้นอาจจะมาจากเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ จนส่งผลทำให้เกิดโรคซึมเศร้าตามมาได้ การป่วยเป็นโรคทางกายต่างๆ เช่น ไทรอยด์ ลมชัก สมองเสื่อม หรือยารักษาโรคบางชนิดที่คนไข้รับประทาน ยาเสพติด หรือโรคทางด้านจิตเวชอื่น ๆ อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้าเช่นกัน


BeDee Tips: ไม่สบายใจ เครียด นอนไม่หลับ ปรึกษาจิตแพทย์ที่ไหนดี อ่านเลย

อาการโรคซึมเศร้าเป็นอย่างไร?

อาการโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้ามีกี่ระยะ? จริง ๆ แล้วอาการซึมเศร้าจะไม่ได้มีระยะที่บอกชัดเจน สิ่งสำคัญที่จะทำให้เรารู้ทันภาวะซึมเศร้าคือการสังเกตตัวเอง รวมถึงการสังเกตจากคนใกล้ตัว ครอบครัว หรือเพื่อนฝูง ด้วยการเช็คอาการโรคซึมเศร้า โดยอาการคนเป็นโรคซึมเศร้าที่ควรสังเกต ได้แก่

  • รู้สึกเศร้าหรือว่างเปล่าเป็นเวลานาน
  • ไม่มีความสุขหรือไม่รู้สึกสนใจกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่เคยชื่นชอบหรือทำแล้วมีความสุขในอดีต
  • หงุดหงิด กระสับกระส่าย กระวนกระวายใจ
  • รู้สึกสิ้นหวัง ไร้ค่า รู้สึกผิด
  • อ่อนเพลีย มีปัญหาในการนอนหลับ เช่น นอนมากเกินไป หรือนอนไม่หลับ
  • มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารเปลี่ยนไป
  • ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ 
  • มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
  • มีปัญหาในการใช้สมาธิจดจำรายละเอียด หรือการตัดสินใจ
  • คิด พูดช้าลง 
  • คิดเรื่องความตายและการฆ่าตัวตาย
  • ใช้สารเสพติด

 

เช็คโรคซึมเศร้าเลยที่นี่! ไม่แน่ใจอาการ ทำแบบคัดกรอง (2Q) และแบบประเมินโรคซึมเศร้า (9Q) เพื่อประกอบการประเมินอาการเบื้องต้นได้ด้านล่างนี้เลย!

 

https://bedee.onelink.me/iQMa/healthassessment?assessmentId=8d5d8f5a-6d4a-4138-a973-fede6bae6fca

ประเภทของโรคซึมเศร้า มีกี่ประเภท?

โรคซึมเศร้าที่เราได้ยินกันนั้น จริง ๆ แล้วสามารถแบ่งออกได้อีกหลายประเภทตามกลุ่มอาการดังนี้

1. โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder)

ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในกลุ่มนี้มักจะรู้สึกเศร้า ท้อแท้ สิ้นหวัง มีความรู้สึกไม่อยากทำอะไร เบื่อแม้แต่สิ่งที่เคยชอบทำ มีอาการติดต่อกัน 2 สัปดาห์ขึ้นไป น้ำหนักลดลง หรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รู้สึกไร้เรี่ยวแรง หงุดหงิด กระสับกระส่าย กระวนกระวายใจ รู้สึกสิ้นหวัง ไร้ค่า รู้สึกผิด อ่อนเพลีย มีปัญหาในการนอนหลับ เช่น นอนมากเกินไป หรือนอนไม่หลับ และอาจมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาและการรักษาจากแพทย์

2. โรคซึมเศร้าเรื้อรัง (Dysthymia Depression)

ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเรื้อรังจะมีอาการรุนแรงน้อยกว่าโรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) ประเภทแรก แต่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเรื้อรังจะมีอาการต่อเนื่องนานอย่างน้อย 2 ปี มักจะรู้สึกเบื่ออาหาร หรือรับประทานอาหารมากเกินไป มีปัญหาด้านการนอน คือนอนมากเกินไปหรือนอนไม่หลับ เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย หมดหวัง หมดแรง และไม่มีสมาธิ

3. อาการซึมเศร้าหลังคลอด (Postnatal Depression)

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า มาม่าบลู (Mama blues) เบบี้บลู (Baby blues) หรือภาวะซึมเศร้าหลังคลอด พบได้ประมาณ 50-80% ทั้งคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ครั้งแรกหรือเคยตั้งครรภ์มาแล้ว และพบได้ทุกช่วงอายุของการตั้งครรภ์ 

 

คุณแม่ที่มีอาการซึมเศร้ามักมีอารมณ์หม่นหมอง ไม่มีความสุข อารมณ์แปรปรวน โกรธง่าย เหงา วิตกกังวล คล้ายถูกทอดทิ้ง อยู่ ๆ ก็อาจร้องไห้ได้ นอนไม่หลับ ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดตั้งแต่ 1-3 วันแรกหลังคลอดเนื่องจากเป็นช่วงที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงมาก โดยส่วนใหญ่จะมีอาการประมาณ 3-4 วัน และไม่เกิน 2 สัปดาห์ อาการจะหายไปเองจากการปรับตัวได้ และจากกำลังใจจากคนรอบข้าง

4. โรคซึมเศร้าก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Dysphoric Disorder)

ผู้ป่วยมักมีอาการซึมเศร้าในช่วงก่อนมีประจำเดือน เมื่อประจำเดือนมาแล้วอาการมักดีขึ้นภายใน 2-3 วัน อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ อารมณ์แปรปรวน เศร้า อารมณ์อ่อนไหวง่าย หงุดหงิด โมโหง่าย สิ้นหวัง ท้อแท้ เครียด วิตกกังวล เบื่อ เหนื่อยง่าย สมาธิจดจ่อไม่ดีเหมือนเดิม อาจนอนไม่หลับ หรือนอนหลับได้ไม่ดี และอาจมีการเจ็บเต้านม ตัวบวม ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อร่วมด้วย

5. โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder – SAD)

โรคที่มักเกิดขึ้นเฉพาะช่วงเวลา มักพบในฤดูหนาวเนื่องจากเป็นช่วงที่เวลากลางคืนยาวนานกว่าช่วงกลางวัน คนไข้มักเกิดอาการซึมเศร้า หดหู่ เหนื่อยล้า แยกตัวออกจากสังคม ส่วนมากอาการมักจะหายไปภายในไม่กี่เดือน

 

อย่าลืมดูแลสุขภาพใจตัวเอง ปรึกษาจิตแพทย์ นักจิตวิทยาคลินิกและ นักจิตบำบัด ที่แอป BeDee 

สะดวก เป็นส่วนตัว

โรคซึมเศร้าในเด็ก

อาการซึมเศร้าสามารถเกิดได้ในเด็ก โดยเฉพาะเมื่อเด็กมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงวัยต่าง ๆ เช่น วัยที่ต้องเข้าเรียน หรือวัยรุ่น ต้องปรับตัวเข้าสู่สังคมในโรงเรียน ใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่น ลูกอาจจะไม่สามารถปรับตัวได้ทัน หรือไม่รู้จะจัดการกับความเครียดอย่างไร จึงเกิดความเครียดสะสม เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ซึ่งอาจจะเป็นอาการเบื้องต้นของโรคซึมเศร้าในเด็กได้ เด็ก ๆ อาจมีอาการเหล่านี้ติดต่อกันอย่างน้อย 2 อาทิตย์

 

  • หงุดหงิดง่าย
  • ซึม เศร้า เฉื่อยชา ไม่อยากทำอะไร เบื่อหน่ายมากขึ้น
  • กลัวการไปโรงเรียน เกาะติดผู้ปกครอง 
  • เก็บตัว ไม่ค่อยพูดจา หรือพูดน้อยลงกว่าเดิม
  • ผลการเรียนแย่ลง 
  • ต่อต้านสังคม ก้าวร้าว หนีโรงเรียน 
  • ใช้สารเสพติด
  • ไม่มีความสุข แม้จะเป็นกิจกรรมที่เคยชอบมาก่อน
  • ไม่อยากทานอาหาร น้ำหนักลด หรือกินอาหารมากเกินไปในบางราย
  • นอนไม่ค่อยหลับ หรือตื่นเร็วกว่าปกติ ในบางรายอาจนอนทั้งวัน
  • ไม่มีสมาธิในการเรียน เรียนไม่เข้าใจ ความจำแย่ลง
  • รู้สึกผิด โทษตัวเอง รู้สึกไร้ค่า
  • แอบร้องไห้คนเดียว
  • ใครทำอะไรก็ผิดหูผิดตา ไม่พอใจไปซะหมด
  • อยากฆ่าตัวตาย หรือบ่นว่าอยากตาย

 

BeDee Tips: อาการทางจิตสังเกตยังไง สัญญาณที่ควรรีบปรึกษาจิตแพทย์ อ่านเลย

โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ

โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ เป็นอีกโรคเงียบที่เกิดกับผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุเป็นอีกกลุ่มที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายอย่างมาก เนื่องจากร่างกายเกิดความเสื่อมถอย ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่ากลุ่มอื่น ๆ อาการที่พบได้ เช่น

  • ทานอาหารน้อยลง
  • เบื่อหน่าย
  • ไม่อยากออกไปไหน
  • รู้สึกไร้ค่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป 
  • มีปัญหาการนอน นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ
  • หงุดหงิด ฉุนเฉียว
  • รู้สึกว่าตัวเองไม่สบาย ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย
  • พูดคุยน้อยลง

สาเหตุการเกิดโรคซึมเศร้า

สาเหตุโรคซึมเศร้า สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 สาเหตุ ดังนี้

  1. สาเหตุทางกายภาพ การป่วยเป็นโรคทางกายต่าง ๆ เช่น ไทรอยด์ ลมชัก สมองเสื่อม
  2. สาเหตุทางพันธุกรรม ผู้ป่วยที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคทางอารมณ์ จะมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าคนทั่วไป
  3. สาเหตุทางจิตสังคม ได้แก่ เหตุการณ์สำคัญในชีวิต สิ่งแวดล้อม เช่น เครียดเรื่องงาน ลักษณะนิสัยส่วนตัว หรือการเลี้ยงดูของครอบครัว

ปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่โรคซึมเศร้า

  • คนในครอบครัวมีประวัติการเป็นโรคซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย เป็นโรคทางจิตเวชอื่น ๆ หรือมีประวัติการติดสุราเรื้อรัง
  • มีประวัติการป่วยเป็นโรคทางจิตเวช เช่น โรควิตกกังวล 
  • ลักษณะนิสัย เช่น เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ชอบดูถูกและตำหนิตัวเอง 
  • เจ็บป่วยเรื้อรัง
  • ใช้ยานอนหลับ
  • เคยผ่านเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง เช่น การสูญเสียบุคคลสำคัญในครอบครัว สูญเสียบุคคลที่รัก ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกทารุณกรรมทางเพศ 
  • ไม่ได้ยอมรับจากคนรอบข้าง เช่น การเบี่ยงเบนทางเพศสภาพ

โรคซึมเศร้าวินิจฉัยอย่างไร?

การวินิจฉัยตรวจโรคซึมเศร้า แพทย์จะวินิจฉันตามอาการ โดยอ้างอิงตามเกณฑ์การวินิจฉัยโรคซึมเศร้า DSM-5 Criteria ดังนี้

ผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ 5 อาการ หรือมากกว่า 

  1. มีอารมณ์ซึมเศร้าแทบทั้งวัน และแทบทุกวัน ผู้ป่วยอาจจะบอกว่า รู้สึกเศร้า ว่างเปล่า สิ้นหวัง หรือผู้อื่นอาจจะสังเกตว่าผู้ป่วยร้องไห้ง่ายขึ้น (ในเด็กและวัยรุ่นอาจเป็นอารมณ์หงุดหงิด)
  2. ความสนใจ หรือความเพลินใจในกิจกรรมต่าง ๆ แทบทั้งหมดลดลงอย่างมากเกือบทุกวัน
  3. น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก (น้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากกว่าร้อยละ 5 ต่อเดือน) หรือมีการเบื่ออาหารหรือเจริญอาหารมาก
  4. นอนไม่หลับ หรือหลับมากเกินไป
  5. กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข หรือเชื่องช้าลง
  6. อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 
  7. รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า หรือรู้สึกผิดมากเกินไป 
  8. สมาธิลดลง ใจลอย ลังเล
  9. คิดเรื่องการตาย คิดอยากตาย หรือพยายามฆ่าตัวตาย

 

โดยผู้ป่วยต้องมีอาการในข้อ 1 หรือ 2 อย่างน้อย 1 ข้อ ยาวนาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป และต้องมีอาการเหล่านี้อยู่แทบจะตลอดเวลาและเกือบทุกวัน 

 

อาการจะส่งผลให้เกิดความทุกข์อย่างชัดเจน หรือส่งผลต่อหน้าที่ต่าง ๆ เช่น การเรียน การงาน ด้านสังคม หรือหน้าที่ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับวัยนั้นหรืออาชีพนั้น ๆ ภาวะซึมเศร้านี้ไม่ได้เกิดจากการใช้สารเสพติด หรือโรคทางกาย

การรักษาโรคซึมเศร้า

รักษาด้วยจิตบำบัด

การรักษาโรคซึมเศร้าด้วยจิตบำบัดนั้นมีหลายรูปแบบ ได้แก่ จิตบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy) พฤติกรรมบำบัด จิตบำบัดระหว่างบุคคล ครอบครัวบำบัด การฝึกทักษะต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการจัดการความเครียด ทักษะการจัดการความโกรธ ทักษะการสื่อสาร เป็นการสร้างเสริมทักษะชีวิต ทั้งนี้สามารถใช้จิตบำบัดร่วมกับการรับประทานยาในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากขึ้นได้

รักษาด้วยยา

ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากขึ้นแพทย์จะรักษาด้วยยาโรคซึมเศร้า เพื่อปรับสารสื่อประสาทในสมอง ช่วยควบคุมอารมณ์ของคนไข้ ในบางรายอาจใช้วิธีรักษาโรคซึมเศร้าด้วยการพูดคุยร่วมด้วย สิ่งสำคัญของการรักษาด้วยยาคือคนไข้ต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง และควรรับประทานอย่างน้อย 6 เดือน หรือเท่ากับระยะเวลาที่อาการของโรคกำเริบในช่วงก่อนหน้า เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาเองเพราะจะทำให้อาการกำเริบได้

รักษาด้วยไฟฟ้า

การรักษาโรคซึมเศร้าด้วยไฟฟ้าคือการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าผ่านศีรษะเพื่อไปกระตุ้นเซลล์สมองผ่านสมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาการซึมเศร้าและอาการทางจิตเวช วิธีนี้เหมาะสำหรับคนไข้ที่ใช้การรักษาด้วยการพูดคุยและการใช้ยาไม่ได้ผลหรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง

 

เลือกไม่ถูกว่าควรรักษาโรคซึมเศร้ากับใคร? มาดูกันว่า นักจิตวิทยากับจิตแพทย์ แตกต่างกันอย่างไร?

หากมีคนใกล้ตัวเป็นโรคซึมเศร้าควรทำอย่างไร?

หลายคนอาจมีประสบการณ์ที่คนใกล้ตัวป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แต่ไม่แน่ใจว่าจะต้องช่วยผู้ป่วยอย่างไร ในฐานะที่เราเป็นคนใกล้ชิดกับผู้ป่วยอาจไม่จำเป็นต้องคาดคั้นว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้าต้องการอะไร สิ่งที่คุณสามารถช่วยเยียวยาผู้ป่วยซึมเศร้าได้ เช่น

  1. พูดคุยและรับฟังผู้ป่วย
    เราควรเป็นผู้รับฟังที่ดีสำหรับผู้ป่วย และพูดคุยกับผู้ป่วยด้วยความเข้าใจ ข้อสำคัญที่ควรตระหนักถึงคือจะต้องไม่รบเร้าให้ผู้ป่วยพูดหรือเล่าในสิ่งที่เขาไม่อยากพูดถึง ควรทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจและไว้วางใจที่จะพูดคุยกับเรา ผู้ป่วยอาจรู้สึกน้อยใจ หรือไม่สบายใจกับคำพูดได้ง่าย ดังนั้นญาติควรพูดคุยด้วยความใจเย็น แสดงให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าเราพร้อมช่วยเหลือผู้ป่วย

    อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วิธีคุยกับคนเป็นโรคซึมเศร้า รับมือให้เป็นก็เท่ากับช่วยเหลือ

  2. ทำความเข้าใจโรคซึมเศร้า
    ญาติหรือผู้ใกล้ชิดควรทำความเข้าใจตัวโรคและอาการเพื่อให้เข้าใจความรู้สึกของผู้ป่วย และทำให้อยู่ร่วมกับผู้ป่วยได้อย่างเข้าใจมากขึ้น ไม่กล่าวโทษว่าผู้ป่วยทำตัวไม่ดี ไม่เหมาะสม เพราะนั่นอาจเป็นอาการของโรค

  3. สนับสนุน ให้กำลังใจผู้ป่วยในการรักษา
    เราสามารถสนับสนุนและให้กำลังใจผู้ป่วยด้วยการไปพบแพทย์เป็นเพื่อนผู้ป่วย คอยอยู่เคียงข้างผู้ป่วย รับฟัง และสนับสนุนผู้ป่วยเพื่อให้มีกำลังใจในการรักษามากยิ่งขึ้น

  4. สังเกตสัญญาณเตือนต่อการฆ่าตัวตาย
    ญาติและผู้ใกล้ชิดควรสังเกตอาการของผู้ป่วยอยู่เสมอ เช่น ผู้ป่วยเริ่มมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเองหรือไม่ หรือผู้ป่วยพูดว่าอยากฆ่าตัวตาย หากญาติพบว่าผู้ป่วยเริ่มมีพฤติกรรมเหล่านี้ควรรีบพาผู้ป่วยมาปรึกษาแพทย์โดยด่วน 

  5. ช่วยเหลือผู้ป่วยในการใช้ชีวิตประจำวัน
    ญาติควรสนับสนุนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยโดยการชวนผู้ป่วยไปทำกิจกรรมที่ผู้ป่วยเคยชื่นชอบ หรือทำกิจกรรมใหม่ๆ เช่น ออกกำลังกาย เดินเล่น วาดรูป เน้นการเข้าใจผู้ป่วยและสนับสนุนผู้ป่วยในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสบายใจมากที่สุด

วิธีป้องกันโรคซึมเศร้า ควรทำอย่างไร?

สำหรับใครที่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าแต่กำลังกลุ้มใจ วิตกกังวล มีเรื่องไม่สบายใจ สามารถป้องกันหรือจัดการกับความกังวลดังกล่าวนั้นได้ด้วยวิธีเหล่านี้ 

  • พูดคุยกับคนที่เราไว้ใจเกี่ยวกับอารมณ์หรือเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกเศร้า
  • พบปะ พูดคุยกับเพื่อนและครอบครัวสม่ำเสมอ
  • ออกกำลังกาย
  • พาตัวเองออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ 
  • ทำกิจกรรมที่เคยทำแล้วรู้สึกมีความสุข
  • ทำตามแผน ไม่ทำตามอารมณ์
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เป็นเวลา
  • หมั่นสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง
  • ฝึกวิธีการผ่อนคลายต่าง ๆ (Relaxation technique) เช่น ฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ เล่นโยคะ หรือจินตนาการถึงสิ่งที่ชอบและทำให้มีความสุข
  • ฝึกทักษะต่างๆ เช่น ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะสังคม ทักษะการสื่อสาร ทักษะระหว่างบุคคล
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า

1. โรคซึมเศร้า ควรพบแพทย์เมื่อไร?

หากสังเกตว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดมีอารมณ์ซึมเศร้าแทบทั้งวัน และแทบทุกวัน สิ้นหวัง หมดความสนใจในสิ่งที่เคยชอบ นอนไม่หลับ หรือหลับมากเกินไป กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข หรือเชื่องช้าลง อ่อนเพลีย ไม่มีแรง และอาจมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย ควรรีบปรึกษาจิตแพทย์ทันที 

2. รักษาโรคซึมเศร้าด้วยตัวเองได้ไหม?

โรคซึมเศร้าสามารถหายเองได้ ในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ เช่น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ดี การได้รับความช่วยเหลือจากสังคม และมีทักษะการจัดการความเครียด อาจจะทำให้อาการลดลงและหายได้เอง 

 

อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยที่เป็นซึมเศร้าที่รุนแรงกว่า จำเป็นจะต้องได้รับการรักษาเพื่อให้อาการดีขึ้นและป้องกันภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาจะเกิดผลกระทบต่อชีวิต ความสัมพันธ์ งาน และชีวิตความเป็นอยู่โดยรวม และอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมา เช่น การใช้สารเสพติด การทำร้ายตัวเอง และมีความคิดอยากตาย

3. โรคซึมเศร้า เกิดโรคแทรกซ้อนอะไรได้บ้าง?

หากคนเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนทั้งทางร่างกายและจิตใจที่รุนแรงและยาวนานได้ เช่น มีความคิดทำร้ายตัวเองและการฆ่าตัวตาย เกิดปัญหาการนอน

 

นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หรือนอนมากเกินไป ส่งผลให้สมองล้า เหนื่อยง่าย ไม่มีสมาธิ และอาจทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงจนทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยตามมาได้

โรคซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะ “ใจ” ก็ป่วยได้ รีบปรึกษาเลย

โรคซึมเศร้ารักษาได้และเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยชรา สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองและการสังเกตจากคนรอบข้าง เพื่อป้องกันการสูญเสีย ถึงแม้เราอาจจะยังไม่ได้ป่วย แต่มีความกังวลใจ มีความเครียด ก็สามารถปรึกษา พูดคุย กับจิตแพทย์ได้ การมีสุขภาพที่ดีนั้นไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่จิตใจยังเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรามีแรงใจในการใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขด้วย

 

BeDee พบหมอเฉพาะทางเครือ BDMS ได้ทันที ไม่ต้องรอ ส่งยาทั่วไทย มั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูล พื้นที่ปลอดภัย สู่สุขภาพใจที่ดีกว่า โดยบุคลากรมืออาชีพ

 

สอบถามเพิ่มเติม Line Official : @BeDeebyBDMS

 

Content powered by BeDee Experts

พญ.มัญชุกร ลีละตานนท์

จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

 

เรียบเรียงโดย 

กรวรรณ ใจซื่อกุล

References

What is depression?. (2024, April). American Psychiatric Association. https://www.psychiatry.org/patients-families/depression/what-is-depression

 

Clinical Practice Review for Major Depressive Disorder. (2020, November). Anxiety and Depression Association of America. https://adaa.org/resources-professionals/practice-guidelines-mdd

 

Depressive disorder (depression). (2023, March 31). World Health Organization.

https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/depression

Exit mobile version