ไข้เลือดออก
สารบัญบทความ

โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever) คืออะไร

โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever) คือโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค เมื่อยุงลายกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกีไม่ว่าจะสายพันธุ์ DENV-1, DENV-2, DENV-3 หรือ DENV-4 เชื้อไวรัสจากตัวผู้ป่วยจะเข้าไปสะสมอยู่ภายในตัวยุงลาย และเมื่อยุงดูดเลือดจากคนอื่นต่อ ๆ ไปจึงทำให้เกิดการแพร่เชื้อติดต่อกันไปเรื่อย ๆ และทำให้เกิดโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออกเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ วิธีสังเกตอาการไข้เลือดออกคือ ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหัว บางรายอาจคลื่นไส้ อาเจียน สิ่งสำคัญของไข้เลือดออกคือผู้ป่วยจะมีจุดเลือด หรือจ้ำเลือดเล็ก ๆ ตามผิวหนัง โรคไข้เลือดออกอาจรุนแรงจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้

สาเหตุของไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกเกิดจากอะไร

โรคไข้เลือดออก เกิดจากยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรค เมื่อยุงลายบ้านเพศเมีย (Aedes aegypti) ดูดเลือดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) สายพันธุ์ DENV-1, DENV-2, DENV-3 หรือ DENV-4 ที่อยู่ในระยะมีไข้หรือระยะไวรัสแพร่กระจายในกระแสเลือดแล้ว ไวรัสเดงกีจะฝังตัวภายในเซลล์ผนังกระเพาะอาหารและต่อมน้ำลายของยุงลายและค่อย ๆ ฟักตัวใน 8-12 วัน หลังจากนั้นเมื่อยุงลายดูดเลือดผู้อื่นอีกครั้งก็จะทำให้เชื้อไวรัสเดงกีเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ที่ถูกยุงลายดูดเลือด และจะทำให้เกิดโรคไข้เลือดออกภายใน 3 – 15 วันหลังจากได้รับเชื้อไวรัสหรือโดนกัดนั่นเอง

อาการและระยะของไข้เลือดออก

1. ระยะไข้สูง (Febrile phase)

อาการไข้เลือดออก ระยะแรก ผู้ป่วยจะมีไข้สูงตั้งแต่ 39-40 องศาเซลเซียสแบบเฉียบพลัน โดยอาการไข้จะคงอยู่ประมาณ 2-7 วัน ไข้เลือดออกในระยะนี้จะมีอาการทั่วไปคล้ายไข้หวัด เมื่อรับประทานยาลดไข้แล้วไข้มักจะไม่ลด ผู้ป่วยไม่มีอาการไอ ไม่มีน้ำมูก อาการอื่นที่สังเกตได้ เช่น 

  • ปวดหัว ปวดเบ้าตา 
  • หน้าแดง 
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปจนถึงปวดข้อ ปวดกระดูก 
  • เบื่ออาหาร 
  • คลื่นไส้ อาเจียน 
  • ปวดท้อง 
  • มีจุดเลือดหรือจุดไข้เลือดออกขึ้นตามร่างกาย

2. ระยะวิกฤต (Critical phase) 

ระยะวิกฤตนี้อาจไม่พบในกลุ่มผู้ป่วยอาการไข้เดงกี (Dengue fever) หรือกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อที่ไม่มีอาการแสดงที่เป็นสัญญาณอันตราย (Dengue without warning signs) อาการไข้เลือดออกในระยะวิกฤตนี้พบส่วนใหญ่ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเป็นครั้งที่ 2 อาการในระยะวิกฤตจะอยู่ในช่วง 3-7 วันหลังผู้ป่วยมีระยะไข้สูง โดยในระยะนี้เป็นระยะที่อันตรายมากที่สุด ควรติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเนื่องจากผู้ป่วยจะมีไข้ขึ้นสูงซึ่งอาจทำให้เกิดอาการช็อกได้ อาการอื่นที่อาจเกิดได้ เช่น 

  • อาการซึม 
  • ปลายมือปลายเท้าเย็น 
  • ปัสสาวะน้อยลง 
  • ความดันโลหิตต่ำ 
  • หมดสติหรืออาจเสียชีวิตได้

3. ระยะฟื้นตัว (Recovery phase)

ไข้เลือดออกระยะฟื้นตัวเป็นระยะสุดท้ายของโรคไข้เลือดออก หลังจากผ่านระยะไข้สูงและระยะวิกฤตมาแล้วผู้ป่วยจะค่อย ๆ ฟื้นตัว อาการใกล้หายของไข้เลือดออกที่สังเกตได้ เช่น

  • ไข้ลดลง
  • ชีพจรและความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าในช่วงวิกฤต
  • ปัสสาวะออกมากขึ้น
  • รับประทานอาหารได้มากขึ้น

มีผื่นแดงสาก ๆ หรือในบางรายอาจยังมีจุดเลือดหรือจุดไข้เลือดออกขึ้นตามร่างกายได้เช่นกัน

 

ปรึกษาไข้เลือดออกกับคุณหมอที่แอป BeDee สะดวก เป็นส่วนตัว ไม่มีค่าจัดส่งยา

วิธีสังเกตอาการไข้เลือดออกเบื้องต้น

สัญญาณเตือนโรคไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก อาการเป็นอย่างไร แตกต่างจากไข้หวัดทั่วไปอย่างไร เรามีวิธีสังเกตอาการไข้เลือดออกเบื้องต้นมาแนะนำดังนี้

  1. มีไข้สูงนาน 2-7 วัน ไข้อาจสูงได้ถึง 40 องศาเซลเซียส
  2. ปวดหัว 
  3. ปวดเบ้าตา 
  4. หน้าแดง ตัวแดง
  5. ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปจนถึงปวดข้อ ปวดกระดูก 
  6. เบื่ออาหาร 
  7. คลื่นไส้ อาเจียน 
  8. ปวดท้อง 
  9. ถ่ายเหลว

มีจุดเลือดหรือจุดไข้เลือดออกขึ้นตามร่างกาย

การวินิจฉัยอาการไข้เลือดออก

สำหรับการตรวจวินิจฉัยอาการไข้เลือดออกนั้น แพทย์จะซักประวัติและอาการของผู้ป่วยรวมถึงที่อยู่อาศัยหรือการเดินทางไปยังพื้นที่ที่เกิดการระบาดของโรคไข้เลือดออก ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสเดงกี ตรวจภูมิคุ้มกันของโรคไข้เลือดออก และตรวจดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC) เพื่อดูปริมาณ ความเข้มข้นและลักษณะของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด

การรักษาไข้เลือดออก

ปัจจุบันไข้เลือดออก รักษาโดยการรักษาตามอาการเนื่องจากยังไม่มียาต้านไวรัสเดงกี เน้นดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่ให้เพียงพอเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการขาดน้ำ บรรเทาอาการอ่อนเพลียจากโรค หมั่นเช็ดตัวและรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ทั้งนี้ควรรับประทานตามขนาดและปริมาณที่แพทย์สั่งเท่านั้น นอกจากนี้ห้ามรับประทานยาในกลุ่ม Non-steroidal antiinflammatory drugs หรือ NSAIDsเพราะจะทำให้ เลือดออกมากขึ้น ตัวอย่างยาในกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน (ibuprofen), ไดโคลฟีแน็ก (diclofenac), นาพร็อกเซน (naproxen), เอทอริค็อกสิบ (etoricoxib) และอื่น ๆ 

นอกจากนี้หมั่นสังเกตอาการเพิ่มเติมหากพบความผิดปกติมากขึ้น เช่น ผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก ปวดท้องมาก ตัวเย็นผิดปกติ หรือไม่ปัสสาวะนานกว่า 6 ชั่วโมง ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

กลุ่มเสี่ยงที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคไข้เลือดออก

กลุ่มเสี่ยงโรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดสามารถพบได้ทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่มักพบบ่อยในกลุ่มเด็กเล็กและกลุ่มคนทำงาน สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่รุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อน ได้แก่

ภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้เลือดออก

  • ไข้เลือดออกรุนแรง (Dengue hemorrhagic fever) 
  • ภาวะเดงกีช็อก (Dengue shock syndrome)
  • การติดเชื้อไวรัสเดงกีระหว่างคุณแม่ตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ เช่น ภาวะคลอดก่อนกำหนด ทารกมีน้ำหนักแรกเกิดน้อย หรือภาวะเครียดในทารกในครรภ์

การติดเชื้อไวรัสเดงกีจากแม่สู่ลูกผ่านการคลอดตามธรรมชาติ (Mother-to-child viral transmission during childbirth) ในกรณีการคลอดบุตรแบบธรรมชาติซึ่งทำให้ลูกสัมผัสกับเลือดของคุณแม่โดยตรงจนได้รับเชื้อไวรัส

ไข้เลือดออกสามารถเป็นซ้ำได้ และอาการจะทวีความรุนแรงขึ้น

โรคไข้เลือดออกสามารถเป็นซ้ำได้ผู้ป่วยที่เคยรับเชื้อไวรัสเดงกีมาแล้วจะทำให้ผู้ป่วยเกิดภูมิคุ้มกันขึ้นเมื่อได้รับเชื้อไวรัสหรือป่วยเป็นไข้เลือดออกอีกครั้งจึงทำให้การติดเชื้อไวรัสครั้งที่ 2 นั้นรุนแรงหรือตอบสนองต่อเชื้อมากกว่าปกติ

การป้องกันไข้เลือดออก

  1. ระวังอย่าให้ยุงกัด หลีกเลี่ยงการอยู่ในสวน ป่า หรือที่อับมืด กางมุ้ง สวมเสื้อแขนยาว ขายาว หรือทายากันยุงหากต้องอยู่สถานที่ที่มียุงเยอะ
  2. ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น ปิดฝาภาชนะให้มิดชิด ไม่ปล่อยให้มีภาชนะที่มีน้ำขังเป็นเวลานานไว้ภายในบ้าน หรือรอบตัวบ้าน หมั่นเปลี่ยนน้ำในแจกัน อ่างปลา หรือภาชนะใส่น้ำอื่น ๆ บ่อย ๆ 
  3. จัดบ้านไม่ให้รกหรืออับเพราะอาจทำให้ยุงเข้ามาอาศัยในจุดที่อับและมืดได้
  4. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกได้ อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนจะให้ผลดีกับผู้ที่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาก่อนเท่านั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกกับชิคุนกุนยา แตกต่างกันอย่างไร?

โรคชิคุนกุนยาเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาซึ่งต่างจากโรคไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกีซึ่งทั้ง 2 โรคนี้มียุงลายเป็นพาหะนำโรคเช่นกัน อาการของโรคชิคุนกุนยาและโรคไข้เลือดออกนั้นมีความใกล้เคียงกันแต่จะแตกต่างกันตรงที่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาจะมีไข้สูงขึ้นอย่างเฉียบพลันกว่าโรคไข้เลือดออกและระยะเวลาของไข้สั้นกว่าประมาณ 2 วัน

ไข้เลือดออก ติดต่อไหม?

โรคไข้เลือดออกไม่ใช่โรคติดต่อจากคนสู่คน แต่ไข้เลือดออกแพร่เชื้อโดยการมียุงลายเป็นพาหะนำโรค อย่างไรก็ตามโรคไข้เลือดออกสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้เช่นกันในกรณีการคลอดบุตรแบบธรรมชาติซึ่งทำให้ลูกสัมผัสกับเลือดของคุณแม่โดยตรงจนได้รับเชื้อไวรัส

เป็นไข้เลือดออก กี่วันถึงจะหาย?

โดยปกติแล้วโรคไข้เลือดออกจะมีระยะในการเกิดโรคประมาณ 3-7 วัน จากนั้นผู้ป่วยจะค่อย ๆ อาการดีขึ้น ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละคนด้วย

 

สอบถามเรื่องอื่น ๆ กับคุณหมอ

ไข้เลือดออกอันตรายถึงชีวิต รีบปรึกษาแพทย์ด่วน

ไข้เลือดออกอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่าชะล่าใจ ปรึกษาหมอออนไลน์หรือปรึกษาเภสัชกร ที่แอป BeDee ได้ทุกวัน เรามีแพทย์และเภสัชกรพร้อมให้คำปรึกษา เลือกปรึกษาตามเวลาที่คุณสะดวก เป็นส่วนตัว ไม่ต้องเดินทาง สอบถามเพิ่มเติม Line Official : @BeDeebyBDMS

 

Content powered by BeDee Expert

ภก. ธวัชชัย กิจการพัฒนาเลิศ

เภสัชกร

 

เรียบเรียงโดย

กรวรรณ ใจซื่อกุล

Yuill, T. M. (2023, November 12). Dengue hemorrhagic Fever/Dengue shock Syndrome. MSD Manual Professional Edition. https://www.msdmanuals.com/professional/infectious-diseases/arboviruses,-arenaviridae,-and-filoviridae/dengue-hemorrhagic-fever-dengue-shock-syndrome


Gubler, D. J. (1998). Dengue and dengue hemorrhagic fever. Clinical Microbiology Reviews11(3), 480–496. https://doi.org/10.1128/cmr.11.3.480

บทความที่เกี่ยวข้อง

Key Highlight    อาการหูอื้อที่ควรรีบปรึกษาหมอ เช่น หูอื้อบ่อย หูอื้อหลายวัน มีอาการหูอื้อตลอดเวลา ปวดหู หูอื้อข้างเดียว บ้านหมุน เวียนศีรษะ อาการหูอื้อทั่วไป เช่น หูอื้อจากน้ำเข้าหู หูอื้อจากการขึ้นเครื่องบิน อาการหูอื้อเหล่านี้อาจเกิดขึ้นและหายไปภา

โรคอ้วนไม่ใช่เพียงภาวะน้ำหนักตัวเกินจากไขมันสะสมที่มากเกินเกณฑ์เท่านั้นแต่ยังนำพามาสู่ปัญหาโรคอันตรายอื่น ๆ ที่รักษาได้ยากและส่งผลร้ายต่อสุขภาพในระยะยาว ในปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคอ้วนมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เร่งรีบและละเลยสุขภาพของ