Key Highlight อาการหูอื้อที่ควรรีบปรึกษาหมอ เช่น หูอื้อบ่อย หูอื้อหลายวัน มีอาการหูอื้อตลอดเวลา ปวดหู หูอื้อข้างเดียว บ้านหมุน เวียนศีรษะ อาการหูอื้อทั่วไป เช่น หูอื้อจากน้ำเข้าหู หูอื้อจากการขึ้นเครื่องบิน อาการหูอื้อเหล่านี้อาจเกิดขึ้นและหายไปภา
ไข้เลือดออกอันตรายถึงชีวิต รีบเช็กอาการและวิธีรักษา
โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever) คืออะไร
โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever) คือโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค เมื่อยุงลายกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกีไม่ว่าจะสายพันธุ์ DENV-1, DENV-2, DENV-3 หรือ DENV-4 เชื้อไวรัสจากตัวผู้ป่วยจะเข้าไปสะสมอยู่ภายในตัวยุงลาย และเมื่อยุงดูดเลือดจากคนอื่นต่อ ๆ ไปจึงทำให้เกิดการแพร่เชื้อติดต่อกันไปเรื่อย ๆ และทำให้เกิดโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออกเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ วิธีสังเกตอาการไข้เลือดออกคือ ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหัว บางรายอาจคลื่นไส้ อาเจียน สิ่งสำคัญของไข้เลือดออกคือผู้ป่วยจะมีจุดเลือด หรือจ้ำเลือดเล็ก ๆ ตามผิวหนัง โรคไข้เลือดออกอาจรุนแรงจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้
สาเหตุของไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก เกิดจากยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรค เมื่อยุงลายบ้านเพศเมีย (Aedes aegypti) ดูดเลือดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) สายพันธุ์ DENV-1, DENV-2, DENV-3 หรือ DENV-4 ที่อยู่ในระยะมีไข้หรือระยะไวรัสแพร่กระจายในกระแสเลือดแล้ว ไวรัสเดงกีจะฝังตัวภายในเซลล์ผนังกระเพาะอาหารและต่อมน้ำลายของยุงลายและค่อย ๆ ฟักตัวใน 8-12 วัน หลังจากนั้นเมื่อยุงลายดูดเลือดผู้อื่นอีกครั้งก็จะทำให้เชื้อไวรัสเดงกีเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ที่ถูกยุงลายดูดเลือด และจะทำให้เกิดโรคไข้เลือดออกภายใน 3 – 15 วันหลังจากได้รับเชื้อไวรัสหรือโดนกัดนั่นเอง
อาการและระยะของไข้เลือดออก
1. ระยะไข้สูง (Febrile phase)
อาการไข้เลือดออก ระยะแรก ผู้ป่วยจะมีไข้สูงตั้งแต่ 39-40 องศาเซลเซียสแบบเฉียบพลัน โดยอาการไข้จะคงอยู่ประมาณ 2-7 วัน ไข้เลือดออกในระยะนี้จะมีอาการทั่วไปคล้ายไข้หวัด เมื่อรับประทานยาลดไข้แล้วไข้มักจะไม่ลด ผู้ป่วยไม่มีอาการไอ ไม่มีน้ำมูก อาการอื่นที่สังเกตได้ เช่น
- ปวดหัว ปวดเบ้าตา
- หน้าแดง
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปจนถึงปวดข้อ ปวดกระดูก
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้อง
- มีจุดเลือดหรือจุดไข้เลือดออกขึ้นตามร่างกาย
2. ระยะวิกฤต (Critical phase)
ระยะวิกฤตนี้อาจไม่พบในกลุ่มผู้ป่วยอาการไข้เดงกี (Dengue fever) หรือกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อที่ไม่มีอาการแสดงที่เป็นสัญญาณอันตราย (Dengue without warning signs) อาการไข้เลือดออกในระยะวิกฤตนี้พบส่วนใหญ่ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเป็นครั้งที่ 2 อาการในระยะวิกฤตจะอยู่ในช่วง 3-7 วันหลังผู้ป่วยมีระยะไข้สูง โดยในระยะนี้เป็นระยะที่อันตรายมากที่สุด ควรติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเนื่องจากผู้ป่วยจะมีไข้ขึ้นสูงซึ่งอาจทำให้เกิดอาการช็อกได้ อาการอื่นที่อาจเกิดได้ เช่น
- อาการซึม
- ปลายมือปลายเท้าเย็น
- ปัสสาวะน้อยลง
- ความดันโลหิตต่ำ
- หมดสติหรืออาจเสียชีวิตได้
3. ระยะฟื้นตัว (Recovery phase)
ไข้เลือดออกระยะฟื้นตัวเป็นระยะสุดท้ายของโรคไข้เลือดออก หลังจากผ่านระยะไข้สูงและระยะวิกฤตมาแล้วผู้ป่วยจะค่อย ๆ ฟื้นตัว อาการใกล้หายของไข้เลือดออกที่สังเกตได้ เช่น
- ไข้ลดลง
- ชีพจรและความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าในช่วงวิกฤต
- ปัสสาวะออกมากขึ้น
- รับประทานอาหารได้มากขึ้น
มีผื่นแดงสาก ๆ หรือในบางรายอาจยังมีจุดเลือดหรือจุดไข้เลือดออกขึ้นตามร่างกายได้เช่นกัน
ปรึกษาไข้เลือดออกกับคุณหมอที่แอป BeDee สะดวก เป็นส่วนตัว ไม่มีค่าจัดส่งยา
วิธีสังเกตอาการไข้เลือดออกเบื้องต้น
ไข้เลือดออก อาการเป็นอย่างไร แตกต่างจากไข้หวัดทั่วไปอย่างไร เรามีวิธีสังเกตอาการไข้เลือดออกเบื้องต้นมาแนะนำดังนี้
- มีไข้สูงนาน 2-7 วัน ไข้อาจสูงได้ถึง 40 องศาเซลเซียส
- ปวดหัว
- ปวดเบ้าตา
- หน้าแดง ตัวแดง
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปจนถึงปวดข้อ ปวดกระดูก
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้อง
- ถ่ายเหลว
มีจุดเลือดหรือจุดไข้เลือดออกขึ้นตามร่างกาย
การวินิจฉัยอาการไข้เลือดออก
สำหรับการตรวจวินิจฉัยอาการไข้เลือดออกนั้น แพทย์จะซักประวัติและอาการของผู้ป่วยรวมถึงที่อยู่อาศัยหรือการเดินทางไปยังพื้นที่ที่เกิดการระบาดของโรคไข้เลือดออก ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสเดงกี ตรวจภูมิคุ้มกันของโรคไข้เลือดออก และตรวจดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC) เพื่อดูปริมาณ ความเข้มข้นและลักษณะของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด
การรักษาไข้เลือดออก
ปัจจุบันไข้เลือดออก รักษาโดยการรักษาตามอาการเนื่องจากยังไม่มียาต้านไวรัสเดงกี เน้นดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่ให้เพียงพอเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการขาดน้ำ บรรเทาอาการอ่อนเพลียจากโรค หมั่นเช็ดตัวและรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ทั้งนี้ควรรับประทานตามขนาดและปริมาณที่แพทย์สั่งเท่านั้น นอกจากนี้ห้ามรับประทานยาในกลุ่ม Non-steroidal antiinflammatory drugs หรือ NSAIDsเพราะจะทำให้ เลือดออกมากขึ้น ตัวอย่างยาในกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน (ibuprofen), ไดโคลฟีแน็ก (diclofenac), นาพร็อกเซน (naproxen), เอทอริค็อกสิบ (etoricoxib) และอื่น ๆ
นอกจากนี้หมั่นสังเกตอาการเพิ่มเติมหากพบความผิดปกติมากขึ้น เช่น ผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก ปวดท้องมาก ตัวเย็นผิดปกติ หรือไม่ปัสสาวะนานกว่า 6 ชั่วโมง ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน
กลุ่มเสี่ยงที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดสามารถพบได้ทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่มักพบบ่อยในกลุ่มเด็กเล็กและกลุ่มคนทำงาน สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่รุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อน ได้แก่
- เด็กทารก
- ผู้สูงอายุ
- คุณแม่ตั้งครรภ์
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาเม็ดเลือดแดงหรือฮีโมโกลบินผิดปกติ
- ผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานความดันโลหิตสูงหอบหืด โรคหัวใจขาดเลือด ไตวายตับแข็ง
- ผู้ที่รับประทานยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroid) หรือยาในกลุ่มยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory หรือ NSAIDs)
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้เลือดออก
- ไข้เลือดออกรุนแรง (Dengue hemorrhagic fever)
- ภาวะเดงกีช็อก (Dengue shock syndrome)
- การติดเชื้อไวรัสเดงกีระหว่างคุณแม่ตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ เช่น ภาวะคลอดก่อนกำหนด ทารกมีน้ำหนักแรกเกิดน้อย หรือภาวะเครียดในทารกในครรภ์
การติดเชื้อไวรัสเดงกีจากแม่สู่ลูกผ่านการคลอดตามธรรมชาติ (Mother-to-child viral transmission during childbirth) ในกรณีการคลอดบุตรแบบธรรมชาติซึ่งทำให้ลูกสัมผัสกับเลือดของคุณแม่โดยตรงจนได้รับเชื้อไวรัส
ไข้เลือดออกสามารถเป็นซ้ำได้ และอาการจะทวีความรุนแรงขึ้น
โรคไข้เลือดออกสามารถเป็นซ้ำได้ผู้ป่วยที่เคยรับเชื้อไวรัสเดงกีมาแล้วจะทำให้ผู้ป่วยเกิดภูมิคุ้มกันขึ้นเมื่อได้รับเชื้อไวรัสหรือป่วยเป็นไข้เลือดออกอีกครั้งจึงทำให้การติดเชื้อไวรัสครั้งที่ 2 นั้นรุนแรงหรือตอบสนองต่อเชื้อมากกว่าปกติ
การป้องกันไข้เลือดออก
- ระวังอย่าให้ยุงกัด หลีกเลี่ยงการอยู่ในสวน ป่า หรือที่อับมืด กางมุ้ง สวมเสื้อแขนยาว ขายาว หรือทายากันยุงหากต้องอยู่สถานที่ที่มียุงเยอะ
- ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น ปิดฝาภาชนะให้มิดชิด ไม่ปล่อยให้มีภาชนะที่มีน้ำขังเป็นเวลานานไว้ภายในบ้าน หรือรอบตัวบ้าน หมั่นเปลี่ยนน้ำในแจกัน อ่างปลา หรือภาชนะใส่น้ำอื่น ๆ บ่อย ๆ
- จัดบ้านไม่ให้รกหรืออับเพราะอาจทำให้ยุงเข้ามาอาศัยในจุดที่อับและมืดได้
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกได้ อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนจะให้ผลดีกับผู้ที่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาก่อนเท่านั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไข้เลือดออก
ไข้เลือดออกกับชิคุนกุนยา แตกต่างกันอย่างไร?
โรคชิคุนกุนยาเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาซึ่งต่างจากโรคไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกีซึ่งทั้ง 2 โรคนี้มียุงลายเป็นพาหะนำโรคเช่นกัน อาการของโรคชิคุนกุนยาและโรคไข้เลือดออกนั้นมีความใกล้เคียงกันแต่จะแตกต่างกันตรงที่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาจะมีไข้สูงขึ้นอย่างเฉียบพลันกว่าโรคไข้เลือดออกและระยะเวลาของไข้สั้นกว่าประมาณ 2 วัน
ไข้เลือดออก ติดต่อไหม?
โรคไข้เลือดออกไม่ใช่โรคติดต่อจากคนสู่คน แต่ไข้เลือดออกแพร่เชื้อโดยการมียุงลายเป็นพาหะนำโรค อย่างไรก็ตามโรคไข้เลือดออกสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้เช่นกันในกรณีการคลอดบุตรแบบธรรมชาติซึ่งทำให้ลูกสัมผัสกับเลือดของคุณแม่โดยตรงจนได้รับเชื้อไวรัส
เป็นไข้เลือดออก กี่วันถึงจะหาย?
โดยปกติแล้วโรคไข้เลือดออกจะมีระยะในการเกิดโรคประมาณ 3-7 วัน จากนั้นผู้ป่วยจะค่อย ๆ อาการดีขึ้น ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละคนด้วย
สอบถามเรื่องอื่น ๆ กับคุณหมอ
ไข้เลือดออกอันตรายถึงชีวิต รีบปรึกษาแพทย์ด่วน
ไข้เลือดออกอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่าชะล่าใจ ปรึกษาหมอออนไลน์หรือปรึกษาเภสัชกร ที่แอป BeDee ได้ทุกวัน เรามีแพทย์และเภสัชกรพร้อมให้คำปรึกษา เลือกปรึกษาตามเวลาที่คุณสะดวก เป็นส่วนตัว ไม่ต้องเดินทาง สอบถามเพิ่มเติม Line Official : @BeDeebyBDMS
Content powered by BeDee Expert
ภก. ธวัชชัย กิจการพัฒนาเลิศ
เภสัชกร
เรียบเรียงโดย
กรวรรณ ใจซื่อกุล
Yuill, T. M. (2023, November 12). Dengue hemorrhagic Fever/Dengue shock Syndrome. MSD Manual Professional Edition. https://www.msdmanuals.com/professional/infectious-diseases/arboviruses,-arenaviridae,-and-filoviridae/dengue-hemorrhagic-fever-dengue-shock-syndrome
Gubler, D. J. (1998). Dengue and dengue hemorrhagic fever. Clinical Microbiology Reviews, 11(3), 480–496. https://doi.org/10.1128/cmr.11.3.480