ยาเบาหวาน

Disclaimer: ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถทดแทนการให้คำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง

“ยาเบาหวาน” หรือยารักษาโรคเบาหวาน คือ ยาที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้และลดความสี่ยงการเกิดโรคแทรกซ้อนในอนาคต ยาเบาหวานมีทั้งรูปแบบยารับประทานและรูปแบบยาฉีด โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ยาจากระดับน้ำตาลในเลือด อายุของผู้ป่วย และโรคประจำตัว เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ป่วยควรตรวจเช็คเบาหวานด้วยตัวเองเป็นประจำควบคู่ด้วยเพื่อผลการรักษาที่ดีขึ้น

สารบัญบทความ

เบาหวาน คือ

โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงผิดปกติเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลิน หรือมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินลดลง ซึ่งฮอร์โมนอินซูลินนั้นทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด โดยการนำน้ำตาลจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้นเมื่อฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอหรือไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จะทำให้ในกระแสเลือดมีระดับน้ำตาลที่สูงมากขึ้น

ประเภทยาเบาหวาน

ยาเบาหวานมีกี่แบบ

ยาเบาหวานแบบฉีด

ยาเบาหวานรูปแบบฉีด ส่วนใหญ่จะใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนังเพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด กลุ่มตัวยาเบาหวานในรูปแบบยาฉีด ได้แก่ 

  • ยาฉีดอินซูลิน มักจะบรรจุอยู่ในหลอดยาหรือปากกาสำหรับฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เมื่อฉีดยาเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยาจะไปเพิ่มระดับฮอร์โมนอินซูลินในกระแสเลือด ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ยาเบาหวานแบบฉีดอินซูลินมีทั้งรูปแบบสารละลายใสและสารละลายขุ่นขึ้นกับชนิดและระยะเวลาการออกฤทธิ์ นอกจากนี้ยาฉีดอินซูลินยังมีทั้งรูปแบบยาเดี่ยว เช่น Humulin R ®, Humulin N ®, Novorapid ®, Insulatard ® เป็นต้น และรูปแบบผสม เช่น Mixtard ®, Novomix ® เป็นต้น 
  • ยาฉีดที่ไม่ใช่อินซูลิน แต่จะอยู่ในรูปแบบสารละลายสำหรับฉีดใต้ผิวหนังเช่นเดียวกัน ตัวยาจะอยู่ในกลุ่มฮอร์โมน GLP-1 (GLP-1 receptor agonist) ออกฤทธิ์กระตุ้นให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนอินซูลินในร่างกาย ลดภาวะต้านอินซูลิน และลดความอยากอาหาร นอกจากจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว ยาเบาหวานแบบฉีดกลุ่มนี้ยังมีประโยชน์ในการช่วยลดน้ำหนักด้วย เช่น Semaglutide (Ozempic ®, Rybelsus ®), Dulaglutide (Trulicity ®) เป็นต้น 
  • ยาฉีดผสมระหว่าง อินซูลินออกฤทธิ์ยาว และ ฮอร์โมน GLP-1 เช่น Insulin degludec + ยาฉีดลดน้ำหนัก หรือที่เรียกกันว่าปากกาลดน้ำหนัก (Xultophy ®)

ยาเบาหวานแบบรับประทาน

ยาเบาหวานรูปแบบรับประทาน มักจะเป็นกลุ่มยาที่แพทย์เลือกใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวานเป็นอันดับแรก เนื่องจากสะดวกต่อผู้ป่วย ผู้ป่วยมักให้ความร่วมมือในการรักษาดีซึ่งทำให้ได้ผลการรักษาที่ได้ประสิทธิภาพตามมา ยาเบาหวานรูปแบบรับประทาน ได้แก่

  • กลุ่ม Biguanide ได้แก่ กลุ่มยาที่ลดภาวะดื้ออินซูลิน (เช่น Siamformet ®, Miformin ®, etc.) เป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวานมาเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และราคาไม่แพง สามารถใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ โดยยาเบาหวานตัวนี้จะช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินได้ดีขึ้น และยังลดการสร้างน้ำตาลที่ตับ 
  • กลุ่ม Sulfonylureas ได้แก่ ยาที่กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน (เช่น Minidiab ®, Dipazide ®, Glygen ®), Glibenclamide (เช่น Benclamide® Diabenol ®), Gliclazide (เช่น Diamicron ®, Glucozide ®, Glizid-M ®), Glimepiride (เช่น Diaglip ®, Gliparil ®) ยาเบาหวานกลุ่มนี้จะเพิ่มการสร้างฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน ทำให้ระดับน้ำตาลลดลงทันทีหลังจากรับประทานยา ดังนั้นควรรับประทานก่อนอาหารไม่เกิน 30 นาที เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลหลังรับประทานอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
  • กลุ่ม Non-Sulfonylureas ได้แก่ Rapaglinide (เช่น Novonorm ®), Mitiglinide (เช่น Glufast ®) ยาเบาหวานกลุ่มนี้จะเพิ่มการสร้างฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อนได้เช่นเดียวกับยากลุ่ม Sulfonylureas แต่แนะนำให้รับประทานยานี้ก่อนอาหารทันที เนื่องจากยาออกฤทธิ์ได้ค่อนข้างเร็ว 
  • กลุ่ม Thiazolidinediones เช่น Actos ®, Gitazone ®, Piozone ®, Utmos ® ตัวยาจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยการเพิ่มการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลิน 
  • กลุ่ม DPP-4 Inhibitors เช่น Vildagliptin (เช่น Dayvul 50 ®, Galvus ®), Alogliptin (เช่น Nesina ®) ยาเบาหวานกลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มการสร้างฮอร์โมนอินซูลินในร่างกาย เพิ่มความไวต่ออินซูลิน และลดความอยากอาหารได้
  • กลุ่ม SGLT-2 Inhibitors เช่น Canaglifloxin (เช่น Invokana ®), Dapagliflozin (เช่น Foxiga ®), Empagliflozin (เช่น Jardiance ®) ยาเบาหวานกลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มการกำจัดน้ำตาลออกทางปัสสาวะมาก นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ไตได้
  • กลุ่ม GLP-1 Receptor Agonist เช่น Semaglutide (Rybelsus ®) ตัวยาจะออกฤทธิ์กระตุ้นให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนอินซูลินในร่างกาย ลดภาวะต้านอินซูลิน และลดความอยากอาหารได้เช่นเดียวกับยาในรูปแบบฉีด

ผลข้างเคียงยาเบาหวาน

ผลข้างเคียงจากยาเบาหวานที่อาจพบได้บ่อย ได้แก่ 

  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ 
  • น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลง 
  • คลื่นไส้ อาเจียน 
  • ถ่ายเหลว 
  • ไม่สบายท้อง 
  • ท้องอืด 
  • เบื่ออาหาร 
  • เวียนศีรษะ 
  • ปวดศีรษะ 
  • ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยากลุ่ม SGLT-2 inhibitors ดังนั้นผู้ป่วยไม่ควรกลั้นปัสสาวะและควรรักษาความสะอาดหลังขับถ่ายเสร็จ
  • ภาวะบวมน้ำ ขาบวม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น สามารถพบได้ในผู้ที่ใช้ยา Pioglitazone

คำแนะนำการใช้ยาเบาหวาน

การใช้ยาเบาหวานให้ถูกวิธี

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยในผู้ที่ใช้ยาเบาหวาน อาการที่พบได้เมื่อเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่ หน้ามืด เวียนศีรษะ มือสั่น ใจสั่น เหงื่อออกมาก ตาพร่า หากผู้ป่วยเกิดอาการเหล่านี้ควรดูแลตัวเองเบื้องต้นด้วยการอมลูกอม 3 เม็ด หรือดื่มน้ำหวาน (ชงน้ำหวานเข้มข้น 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำ 120 ซีซี) หรือดื่มน้ำผลไม้ 1 กล่องเล็ก ผู้ป่วยเบาหวานอาจพกลูกอมติดตัว เพื่อที่จะสามารถแก้ไขภาวะน้ำตาลต่ำได้ทันท่วงที 

 

เพื่อป้องกันการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ 

  • ควรรับประทานอาหารให้ตรงเวลาในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรงดอาหาร 
  • หากรับประทานอาหารได้น้อยลงควรปรึกษาแพทย์
  • ไม่ควรออกกำลังกายหักโหมหรือหนักเกินไป 
  • ไม่ควรซื้อสมุนไพรอาหารเสริมเพื่อลดน้ำตาลมารับประทานเอง 
  • ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรปรับขนาดยาเอง 

หากเกิดอาการผิดปกติหรือเกิดผื่นขึ้นตามร่างกาย หน้าบวม ตาบวม หรืออาการที่สงสัยว่าแพ้ยาให้หยุดยาและรีบปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

วิธีดูแลตัวเองควบคู่กับการใช้ยาเบาหวาน

ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรควบคุมอาหารโดยใช้หลักการ “อาหารแลกเปลี่ยน” คือจัดกลุ่มอาหารโดยยึดปริมาณ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เป็นหลัก โดยอาหารในแต่ละหมวดจะให้พลังงานและสารอาหารหลักดังกล่าวในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน จึงสามารถนำอาหารภายในหมวดเดียวกันมาแลกเปลี่ยนกันได้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้พลังงานเพียงพอในแต่ละวัน 

นอกจากนี้ผู้ป่วยควรออกกำลังกายสม่ำเสมอครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง ควบคู่กับการใช้ยาเบาหวานจะช่วยให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลและลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ และควรระวังการเกิดบาดแผลโดยเฉพาะบริเวณเท้า ควรสวมรองเท้าที่ไม่แข็งและไม่รัดจนเกินไป หมั่นดูแลความสะอาดและคอยสังเกตว่ามีบาดแผลเกิดขึ้นหรือไม่ หากเกิดบาดแผลควรรีบรักษาเพื่อไม่ให้แผลเกิดการติดเชื้อ สำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นโรคเบาหวานแต่มีความเสี่ยง ควรสังเกตอาการด้วยตนเอง หากเกิดอาการปัสสาวะบ่อย หิวบ่อย น้ำหนักลด คอแห้งหิวน้ำบ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองเบาหวานเพิ่มเติม

คำถามพบบ่อย

1.ยาเบาหวานห้ามรับประทานร่วมกับอาหารหรือยาอะไรบ้าง?

โดยทั่วไปสามารถรับประทานยาเบาหวานร่วมกับอาหารหรือยาอื่น ๆ ได้ ไม่มีข้อห้ามในการใช้ยาเบาหวานร่วมกับยาหรือาหารอื่น ๆ แต่ควรระวังการรับประทานยาเบาหวานร่วมกับยาที่มีอาจมีผลต่อการดูดซึมยาอื่น เช่น ยาลดไขมัน

2. ยาเบาหวานควรรับประทานทานเวลาไหนดี?

หากเป็นยาเบาหวานที่ต้องรับประทานก่อนอาหาร ควรรับประทานก่อนอาหารประมาณ 30 นาที เพื่อให้ยาสามารถออกฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลหลังรับประทานอาหารได้ เมื่อรับประทานยาก่อนอาหารแล้วควรรับประทานอาหารตามเวลาที่แนะนำเพื่อป้องกันการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ สำหรับยาเบาหวานรุ่นใหม่ เช่น Rapaglinide (Novonorm) สามารถรับประทานก่อนอาหารทันทีได้ แต่สำหรับยาเบาหวาน Semaglutide (Rybelsus) จะแนะนำให้รับประทานก่อนอาหารอย่างน้อย 30 นาที และดื่มน้ำตามไม่เกิน 120 ซีซี หากเป็นยาเบาหวานที่รับประทานหลังอาหาร สามารถรับประทานยาหลังอาหารได้ทันที

3. ยาเบาหวานมีผลต่อไตหรือไม่?

ยาเบาหวานไม่มีผลต่อไต ไม่ทำให้ไตเสื่อม แต่มียาเบาหวานบางกลุ่มที่ต้องมีการปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับการทำงานของไต ดังนั้นในผู้ที่มีการทำงานของไตลดลงควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง

4. สตรีตั้งครรภ์ควรรับประทานยาเบาหวานชนิดใด?

ยาเบาหวานที่มีข้อมูลความปลอดภัยในผู้ป่วยเบาหวานที่ตั้งครรภ์ ได้แก่ กลุ่มยาที่ลดภาวะดื้ออินซูลิน และยากลุ่ม Insulin ดังนั้นหากผู้ป่วยตั้งครรภ์ควรแจ้งให้แพทย์ที่ดูแลทราบเพื่อให้แพทย์พิจารณาการรักษาที่เหมาะสม

5. สามารถซื้อยาเบาหวานรับประทานเองได้หรือไม่?

ก่อนการเริ่มรักษาโรคเบาหวานด้วยยา เริ่มแรกผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อตรวจระดับน้ำตาลและค่าต่าง ๆ เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยโรคและจ่ายยาที่ผู้ป่วยควรได้รับ เมื่อผู้ป่วยเริ่มการรักษาไปแล้วแต่ต้องการซื้อยาเพื่อรับประทานเองเพิ่มเติม สามารถซื้อยาได้กับเภสัชกร โดยแจ้งชื่อยา จำนวน และมิลลิกรัมที่รับประทาน อย่างไรก็ตามควรแจ้งให้แพทย์ทราบและพบแพทย์ตามนัดอยู่เสมอ

 

สอบถามเรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับยาเบาหวาน ไม่มีค่าใช้จ่าย