Disclaimer: ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถทดแทนการให้คำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง Key Takeaways ภาวะสิ้นยินดีคือความรู้สึกเฉยชา ว่างเปล่า เบื่อ เหนื่อยหน่าย หรือไม่รู้สึกมีความ
รู้จักไบโพลาร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว เดี๋ยวดี เดี๋ยวโมโห
Disclaimer: ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถทดแทนการให้คำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง
Key Takeaways
- ไบโพลาร์คือโรคที่ผู้ป่วยมีอารมณ์ดีหรืออารมณ์หงุดหงิดมากจนผิดปกติ หรือเรียกว่าโรคอารมณ์สองขั้ว ซึ่งส่งผลต่อชีวิตประจำวัน
- ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหนื่อยล้า หมดพลัง มองตัวเองในแง่ลบ รู้สึกไม่มีคุณค่า หรือ รู้สึกผิดแบบไม่สมเหตุผล แต่เมื่ออยู่ในขั้วอารมณ์แมเนียกลับมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถอย่างมาก ช่างพูด ช่างคุย พูดคุยมากกว่าปกติ
- ไบโพลาร์สามารถรักษาได้ หากพบว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดมีอารมณ์ที่เปลี่ยนไป ควรปรึกษา
ไบโพลาร์คืออะไร?
กลุ่มโรคไบโพลาร์ (Bipolar Spectrum Disorders) หรือ กลุ่มโรคอารมณ์สองขั้ว คือโรคที่ผู้ป่วยมีอารมณ์ผิดปกติอย่างเด่นชัด ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยอาจมีอารมณ์ดีหรืออารมณ์หงุดหงิดมากจนผิดปกติ และสามารถพบร่วมกันกับอารมณ์เศร้าและอาการต่าง ๆ ของโรคซึมเศร้าได้เช่นกัน ซึ่งการแสดงออกของแต่ละขั้วอารมณ์นั้นจะยาวนานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ และสามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างรุนแรงรวมถึงนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้
ไบโพลาร์มีสาเหตุจากอะไร?
ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้ว่าไบโพลาร์เกิดจากอะไร แต่หลักฐานเชิงประจักษ์ในปัจจุบันชี้ว่า อาจเกิดจากปัจจัยต่างหลายอย่างที่มีปฏิกริยาต่อกัน และการที่มีปัจจัยใดปัจจัยเดียวไม่ได้เป็นการบ่งบอกว่าจะเกิดโรคอารมณ์สองขั้วขึ้น
- การทำงานของสารสื่อประสาทในสมองที่เสียสมดุล ตัวอย่างเช่น สารนอร์อะดรีนาลีน (Noradrenaline) สารเซโรโทนิน (Serotonin) และสารโดปามีน (Dopamine) เป็นต้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของสมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์
- พันธุกรรม พบว่าผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไบโพลาร์จะมีโอกาสเป็นโรคดังกล่าวมากกว่าคนทั่วไป และพบว่าความเสี่ยงนั้นจะเพิ่มสูงขึ้นหากมีจำนวนคนในครอบครัวที่มีภาวะดังกล่าวมาก มีอาการรุนแรง หรือมีความใกล้ชิดกัน (First-Degree Relatives)
- มีเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ (Stressful Life Events) ซึ่งพบว่าประมาณ 60% ผู้ป่วยไบโพลาร์มักมีอาการกำเริบภายในระยะเวลา 6 เดือนหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจ
- มีประสบการณ์ถูกทารุณในวัยเด็ก (Childhood Maltreatment) ซึ่งประกอบไปด้วยการใช้ความรุนแรง หรือการถูกละเลย
สัญญาณเตือนไบโพลาร์มีอะไรบ้าง?
สัญญาณเตือนของโรคไบโพลาร์คืออารมณ์สองขั้ว มีดังนี้
- มีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าว
- มีกิจกรรมที่เยอะกว่าปกติ (Hyperactivity)
- มีความวิตกกังวล
- มีปัญหาการใช้สารเสพติด
- มีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงขึ้นลงภายในระยะเวลาอันสั้น (Mood Swings)
- มีอาการของแมเนีย (Manic Symptoms) เช่น มีพฤติกรรมเสี่ยงสูงเพิ่มมากขึ้น
- บุคลิกภาพ (Personality Trait) บางอย่าง เช่น ชอบมองหาสิ่งแปลกใหม่ตลอดเวลา (Novelty Seeking) หรือ มีความหุนหันพลันแล่น หรือ ชอบเข้าสังคมมากเกินไปจนเกิดปัญหา (Extreme Extroversion Leading to Problems)
- มีปัญหาทางกฎหมายหรือ มีพฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสมเกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นผลมาจากความหุนหันพลันแล่นเป็นช่วง ๆ
- การเปลี่ยนงานหรืออาชีพบ่อย ๆ แบบที่ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน
- มีพฤติกรรมทางการเงินที่ไม่เหมาะสม
หมายเหตุ สัญญาณเตือนดังข้างต้น ไม่ได้แปลว่ามีอาการแล้วจะเป็นโรคไบโพลาร์หรืออารมณ์สองขั้ว เนื่องจากสัญญาณมีความจำเพาะต่ำต่อการเกิดโรค
สงสัยโรคไบโพลาร์อย่าปล่อยไว้ รีบปรึกษาจิตแพทย์ที่แอป BeDee สะดวก ไม่ต้องเดินทาง เป็นส่วนตัว
อาการของไบโพลาร์มีอะไรบ้าง?
ไบโพลาร์กับโรคซึมเศร้านั้นมีความแตกต่างกันเนื่องจากกลุ่มโรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) คือการที่มีอารมณ์สองขั้วอยู่ภายในโรคเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มโรคซึมเศร้า ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น Unipolar Depression ซึ่งหมายถึงอาการซึมเศร้าเพียงขั้วเดียว
อารมณ์สองขั้วนั้น หากจะสื่อสารให้เข้าใจได้ง่าย จะหมายถึง “ขั้วที่มีอารมณ์เศร้าเด่น” และ “ขั้วที่มีอารมณ์ตรงข้ามกับเศร้า” ซึ่งสำหรับขั้วนี้ จะรวมความผิดปกติของอารมณ์ที่ดีจนผิดปกติ (Elevated/ Expansive Mood) และอารมณ์ที่หงุดหงิดจนผิดปกติ ซึ่งหากตัวโรคกำเริบ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงไหนก็ตาม ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยเป็นทุกข์อย่างรุนแรงและรบกวนการใช้ชีวิตได้ไม่แตกต่างกัน โดยอาการที่พบได้ในแต่ละขั้วมีดังนี้
ช่วงซึมเศร้า (Depressive Episode)
เมื่อผู้ป่วยกลุ่มโรคไบโพลาร์อยู่ในช่วงซึมเศร้า (Major Depressive Episode) จะมีอารมณ์เศร้า (หรือ ภาวะสิ้นยินดี (Loss of Interest and Pleasure) เป็นส่วนใหญ่ของวัน มีวันที่มีอาการเศร้ามากกว่าวันที่ไม่เป็น หรือเป็นติดกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และพบร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น
- นอนไม่หลับ หรือ นอนหลับมากเกินกว่าปกติ
- ความอยากอาหารเพิ่มหรือลดลงจากเดิม หรือ มีน้ำหนักลดลงอย่างมากทั้งที่ไม่ได้พยายามลดน้ำหนัก
- การเคลื่อนไหวดูกระสับกระส่าย หรือ เชื่องช้าผิดไปจากปกติ
- รู้สึกเหนื่อยล้า หมดพลัง
- มองตัวเองในแง่ลบ รู้สึกไม่มีคุณค่า หรือ รู้สึกผิดแบบไม่สมเหตุผล
- ความสามารถในการคิดวิเคราะห์หรือสมาธิลดลง ความสามารถในการตัดสินใจลดลง
- คิดเกี่ยวกับความตายบ่อย ๆ คิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย วางแผนฆ่าตัวตาย หรือ พยายามฆ่าตัวตาย
ช่วงแมเนีย (Mania Episode)
ช่วงที่ผู้ป่วยมีอาการแมเนีย (Manic Symptoms) นั้น จะมีอารมณ์ดีผิดปกติ (Elevated Mood) จนผู้ที่อยู่ใกล้ชิดอาจจะรู้สึกดีไปด้วยได้ (Expansive Mood) หรือพบอารมณ์หงุดหงิดผิดปกติ (Irritable Mood) โดยความผิดปกติของอารมณ์เหล่านี้จะอยู่เป็นส่วนใหญ่ของวันและจำนวนวันที่เป็นมากกว่าไม่เป็น และพบร่วมกับการที่มีกิจกรรม หรือเรี่ยวแรง เพิ่มมากขึ้นด้วย ระยะเวลาของอาการเหล่านี้จะพบได้ติดต่อกันอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หรือน้อยกว่านั้นหากจำเป็นต้องได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยใน และอาจพบความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยดังนี้
- มั่นใจในตัวเองมากขึ้น มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถอย่างมาก
- นอนไม่ค่อยหลับ นอนหลับเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน
- ช่างพูด ช่างคุย พูดคุยมากกว่าปกติ
- หมกมุ่นกับกิจกรรมบางอย่างเป็นอย่างมาก เช่น ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
- มีอารมณ์ทางเพศสูง
- วอกแวกง่าย สมาธิสั้น
- ความคิดโลดแล่น คึกคัก
โดยช่วงเวลาที่มีความผิดปกติของอารมณ์แบบแมเนียนั้น จะทำให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อการใช้ชีวิต หรือจำเป็นต้องได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยใน เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายกับผู้ป่วยหรือผู้อื่น นอกจากนั้นยังสามารถพบอาการทางจิตเช่น ประสาทหลอน (Hallucination) หลงผิด (Delusion) ร่วมด้วยได้
ช่วงไฮโปแมเนีย (Hypomania Episode)
อาการที่พบในช่วงไฮโปแมเนีย (Hypomanic Symptoms) นั้น คล้ายคลึงกับอาการของแมเนีย (Manic Symptoms) เป็นอย่างมาก โดยความแตกต่างเบื้องต้นมีดังนี้
- ระยะเวลาติดต่อกัน 3 หรือ 4 วัน (ขึ้นกับชนิดของอารมณ์)
- ไม่กระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าคนรอบตัวจะสังเกตได้ว่าผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างชัดเจน
- ไม่มีข้อบ่งชี้ในการรับไว้รักษาแบบผู้ป่วยใน
- ไม่มีอาการทางจิตเช่น ประสาทหลอน หลงผิด ร่วมด้วย
การวินิจฉัยโรคไบโพลาร์
การวินิจฉัยภาวะอารมณ์สองขั้วในปัจจุบันนั้นจะใช้เกณฑ์ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, 5th Edition, Text Revision (DSM-V-TR) ซึ่งเป็นของสมาคมจิตแพทย์สหรัฐอเมริกา (American Psychiatric Association) และ International Classification of Disease, 11th Edition (ICD-11) ซึ่งเป็นขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization)
เช่นเดียวกับกลุ่มโรคซึมเศร้า กลุ่มโรคไบโพลาร์นั้นมีหลายชนิดด้วยกัน แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
- ไบโพลาร์ ชนิด I (Bipolar I Disorder)
- ไบโพลาร์ ชนิด II (Bipolar II Disorder)
- ไซโคลไทเมีย (Cyclothymic Disorder)
- กลุ่มไบโพลาร์อื่น ๆ (Specified Bipolar Disorders)
กลุ่มโรคอารมณ์สองขั้วแต่ละชนิดนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการวินิจฉัยแยกโรคออกจากกัน เนื่องจากมีการดำเนินโรคและแนวทางการรักษาที่แตกต่างกัน โดยสรุปความแตกต่างดังนี้
- ไบโพลาร์ ชนิด I (Bipolar I Disorder)
- มีอาการของขั้วแมเนีย (Manic Episode) อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต และอาการที่เกิดขึ้นในขั้วแมเนียนั้นจะทำให้เกิดข้อจำกัดในการใช้ชีวิต , มีข้อบ่งชี้ในการรับไว้รักษาในโรงพยาบาล , หรือมีอาการทางจิต
- ผู้ป่วยกลุ่มที่อาจมีเพียงอาการของขั้วแมเนีย (Manic Episode) เพียงอย่างเดียว หรืออาจพบร่วมกันกับขั้วไฮโปแมเนีย (Hypomanic Episode) หรือขั้วซึมเศร้า (Major Depressive Episode) หรือไม่ก็ได้
- ไบโพลาร์ ชนิด II (Bipolar II Disorder)
- มีอาการของขั้วไฮโปแมเนีย (Hypomanic Episode) อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต และอาการที่เกิดขึ้นในขั้วไฮโปแมเนียนั้นจะแตกต่างจากช่วงที่ไม่มีอาการอย่างชัดเจนและคนรอบตัวสังเกตได้ แต่อาการของไฮโปแมเนียนั้นจะต้องไม่ทำให้เกิดข้อจำกัดในการใช้ชีวิต มีข้อบ่งชี้ในการรับไว้รักษาในโรงพยาบาล และต้องไม่มีอาการทางจิตร่วมด้วย
- ผู้ป่วยจำเป็นต้องเคยมีอาการของขั้วซึมเศร้า (Major Depressive Episode) มาก่อน
- ผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ท้าทายในการวินิจฉัย เนื่องจากดังที่กล่าวไปว่าอาการจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตรุนแรง จึงอาจทำให้แยกยากว่าเป็นอาการป่วยหรือไม่
- ไซโคลไทเมีย (Cyclothymic Disorder)
- คล้ายคลึงกับไบโพลาร์ชนิด II คือมีอาการของขั้วไฮโปแมเนียและซึมเศร้า แต่มีความแตกต่างที่อาการของขั้วไฮโปแมเนียจะไม่ถึงเกณฑ์การวินิจฉัย (Subsyndromal hypomanic Episode) และมักเกิดขึ้นซ้ำ ๆ
- กลุ่มโรคไบโพลาร์อื่น ๆ
- หมายถึงกลุ่มความผิดปกติของอารมณ์ที่มีความคล้ายคลึงกับกลุ่มโรคไบโพลาร์ I โรคไบโพลาร์ II และไซโคลไทเมีย แต่อาการอาจเกิดขึ้นสั้นกว่าหรือมีความรุนแรงที่น้อยกว่า
การรักษาโรคไบโพลาร์
การรักษาไบโพลาร์นั้นจะใช้ยารักษาเป็นหลัก ซึ่งยาที่ใช้นั้นมีหลากหลายด้วยกัน ตัวอย่างของกลุ่มยาที่นำมาใช้ในกลุ่มโรคไบโพลาร์ เช่น
- ลิเทียม (Lithium) – การรักษาด้วยลิเทียมนั้นจำเป็นต้องมีการติดตามกับแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับการตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินผลข้างเคียงจากยาที่อาจเกิดขึ้นจากยาและการปรับระดับยาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- กลุ่มยากันชักบางชนิด (Antiepileptic Drugs) – เช่น Valproic Acid, Carbamazepine, Lamotrigine ซึ่งแต่ละชนิดนั้นมีข้อบ่งใช้ที่แตกต่างกัน ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนรับยา
- ยาทางจิตเวชอื่น ๆ – เช่น Quetiapine, Risperidone, Aripiprazole, Lurasidone, Haloperidol, Olanzapine-Fluoxetine Combination (OFC), Clonazepam, Lorazepam ซึ่งมีข้อบ่งใช้และอาการที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดที่แตกต่างกันในยาแต่ละขนิด
ถึงแม้ยาจะมีความจำเป็นดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่การบำบัดทางจิตสังคม (Psychosocial Intervention) ยังมีบทบาทเสริมจากการรักษาด้วยยา ในช่วงที่มีอาการซึมเศร้าหรือป้องกันการกำเริบ การบำบัดทางจิตสังคมที่ช่วยในการรักษาโรคไบโพลาร์ เช่น
- การให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิต (Psychoeducation)
- เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของโรค การดำเนินโรค แผนการรักษา และการจัดการปัญหาเบื้องต้น
- การบำบัดแบบความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy)
- ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรับการรับรู้ การตีความและการตอบสนองให้ยืดหยุ่นมากขึ้น
- การบำบัดครอบครัว (Family-Focused Therapy)
- เป็นการร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับคนในครอบครัว โดยเฉพาะการสื่อสาร เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การบำบัดสัมพันธภาพบุคคลและการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย (Interpersonal and Social Rhythm Therapy)
- คล้ายคลึงกับการบำบัดสัมพันธภาพบุคคล (IPT) แต่มีการเพิ่มเติมในส่วนของการบำบัดจังหวะการเข้าสังคมและการนอนเพิ่มเข้ามา
และในบางกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น มีภาวะอันตราย ซึ่งจำเป็นที่จะต้องให้การรักษาที่ช่วยให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด หรือกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาหรือการรักษาทางจิตสังคม จิตแพทย์อาจพิจารณาการรักษาด้วยการกระตุ้นไฟฟ้า (Electroconvulsive Therapy)
การดูแลผู้ป่วยโรคไบโพลาร์
การดูแลผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ทั้งจากคนใกล้ชิดและจากตัวผู้ป่วยเองสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาและการควบคุมโรค เพราะจะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการ และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วย
- ไปพบจิตแพทย์ตามนัด
- ทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ ห้ามหยุดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจทำให้อาการกลับมาแย่ลงอย่างรวดเร็ว
- กำหนดเวลา ตื่นนอน เข้านอนให้ตรงกันทุกวัน
- รับประทานอาหารมีประโยชน์
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียด การอดนอน หรือการใช้สารเสพติด
- ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินเร็ว โยคะ หรือว่ายน้ำ
- พูดคุยกับเพื่อนหรือครอบครัวที่เข้าใจ พร้อมจะรับฟังโดยไม่ตัดสิน
การดูแลคนใกล้ชิดที่เป็นไบโพลาร์
การดูแลคนใกล้ชิดที่เป็นโรคไบโพลาร์นั้นอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องอาศัยความเข้าใจต่อโรค
ต้องใช้การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด และผู้ที่ดูแลควรส่งเสริมให้ผู้ป่วยรับการรักษาต่อเนื่อง พยายามให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์สม่ำเสมอ และรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง
พยายามไม่ตัดสินหรือตำหนิผู้ป่วยเนื่องจากพฤติกรรมบางอย่างเป็นผลจากอาการ ไม่ใช่เจตนาที่แท้จริง
ใช้คำพูดเชิงบวก ให้กำลังใจ ไม่ซ้ำเติม และสิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือการดูแลตัวคุณเองด้วย เนื่องจากผู้ดูแลเองมีความเสี่ยงต่อความเครียดสูง ควรหาเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนเช่นกัน พยายามสื่อสารด้วยความเข้าใจ รับฟังโดยไม่ตัดสิน ดูวิธีพูดกับคนเป็นไบโพลาร์เพิ่มเติม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไบโพลาร์
1. ยารักษาไบโพลาร์มีผลข้างเคียงไหม?
สำหรับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากยารักษาไบโพลาร์นั้น แตกต่างกันไปในแต่ละชนิด ซึ่งผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นนั้นสามารถที่จะจำกัดให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ผ่านการตรวจประเมินและติดตามอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้การประเมินก่อนเริ่มยา เช่น ค่าการทำงานของตับและไต หรือ Biomarker บางอย่างที่ช่วยประเมินโอกาสเสี่ยงแพ้ยารุนแรงได้ หรือการตรวจเลือดเพื่อพิจารณาระดับยาในเลือด และต้องมีการประเมินประโยชน์ที่จะได้รับจากยาเทียบกับโอกาสการเกิดผลข้างเคียง โดยผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นนั้นมีความรุนแรงที่หลากหลาย เช่น
- ไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ
- เกิดผลข้างเคียงที่อาจไม่รุนแรง สามารถรักษาตามอาการ หรืออาจดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เช่น คลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก ท้องเสีย เบื่ออาหารหรืออยากอาหากมากกว่าปกติ ปากแห้ง คอแห้ง ตาแห้ง ตามัว มือสั่น ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัดกลืนลำบาก เดินแข็งทื่อ
- เกิดผลข้างเคียงที่อาจอันตรายได้ถึงชีวิต เช่น การแพ้ยาชนิด Steven-Johnson Syndrome หรือ Toxic Epidermal Necrotizing , ภาวะเซโรโทนินมากเกินไป (Serotonin Syndrome) หรือ กลุ่มอาการ Neuroleptic Malignant Syndrome เป็นต้น
2. ไบโพลาร์ต้องกินยาตลอดชีวิตไหม?
โรคไบโพลาร์นั้นเป็นโรคเรื้อรัง และการกำเริบของโรคในแต่ละครั้งนั้นทำให้เกิดความสูญเสียอย่างรุนแรง โดยผู้ป่วยโรคอารมณ์สองขั้วเกือบทั้งหมดจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาเพื่อป้องกันการเป็นซ้ำ และเพื่อลดอาการที่คงเหลือ รวมไปถึงการฟื้นฟูการดำเนินและคุณภาพชีวิต
มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าผู้ป่วยไบโพลาร์ที่มีอาการกำเริบบ่อยจะสัมพันธ์กับการที่มีปริมาตรของเนื้อสมองลดลง การถดถอยของระดับการรู้คิด ระยะเวลาที่ไม่มีอาการสั้นลง รวมไปถึงมีความถี่และความรุนแรงของการกำเริบที่มากขึ้น ดังนั้นความจำเป็นในการใช้ยาเพื่อป้องกันการกำเริบของโรคจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามการใช้ยาเพื่อป้องกันอาการกำเริบนั้นจำเป็นที่จะต้องเลือกยาที่ไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่กระทบต่อชีวิตผู้ป่วยและอาจเป็นเหตุให้เกิดการหยุดยาตามมาได้ ซึ่งระยะเวลาในการป้องกันอาการกำเริบนั้นแตกต่างกันในแต่ละคน
ไบโพลาร์รักษาเร็ว ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
โรคไบโพลาร์สามารถรักษาได้ ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาเพื่อใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติได้ สิ่งสำคัญคือต้องหมั่นสังเกตอารมณ์ตัวเองหรือคนรอบข้าง และรีบปรึกษาจิตแพทย์ทันทีเมื่อรู้สึกไม่ปกติ ปัจจุบันการพูดคุยกับจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไป
BeDee พบหมอเฉพาะทางเครือ BDMS ได้ทันที ไม่ต้องรอ ส่งยาทั่วไทย มั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูล พื้นที่ปลอดภัย สู่สุขภาพใจที่ดีกว่า โดยบุคลากรมืออาชีพ
สอบถามเพิ่มเติม Line Official : @BeDeebyBDMS
Content powered by BeDee Experts
พญ.มัญชุกร ลีละตานนท์
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
น.พ. ชนาธิป ทองยงค์
จิตแพทย์ทั่วไป
เรียบเรียงโดย
กรวรรณ ใจซื่อกุล
Jain, A., & Mitra, P. (2023, February 20). Bipolar Disorder. PubMed; StatPearls Publishing. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK558998/
Yatham, L. N., Kennedy, S. H., Parikh, S. V., Schaffer, A., Bond, D. J., Frey, B. N., Sharma, V., Goldstein, B. I., Rej, S., Beaulieu, S., Alda, M., MacQueen, G., Milev, R. V., Ravindran, A., O’Donovan, C., McIntosh, D., Lam, R. W., Vazquez, G., Kapczinski, F., & McIntyre, R. S. (2018). Canadian Network for Mood and Anxiety Treatments (CANMAT) and International Society for Bipolar Disorders (ISBD) 2018 guidelines for the management of patients with bipolar disorder. Bipolar Disorders, 20(2), 97–170. https://doi.org/10.1111/bdi.12609
American Psychiatric Association. (2022). Diagnostic and statistical manual of mental disorders. Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, Fifth Edition, Text Revision (DSM-5-TR), 5(5). https://doi.org/10.1176/appi.books.9780890425787
World Health Organization. (2019). ICD-11. Who.int. https://icd.who.int/en/
Beck Institute. (2018). Understanding CBT. Beck Institute. https://beckinstitute.org/about/understanding-cbt/
American Psychiatric Association. (2019). What Is Electroconvulsive Therapy (ECT)? Psychiatry.org; American Psychiatric Association. https://www.psychiatry.org/patients-families/ect
Swann, A. C. (2005, February 15). Practical Clues to Early Recognition of Bipolar Disorder: A Primary Care Approach. Psychiatrist.com; Primary Care Companion for CNS Disorders. https://www.psychiatrist.com/pcc/practical-clues-early-recognition-bipolar-disorder/
Skjelstad, D. V., Malt, U. F., & Holte, A. (2010). Symptoms and signs of the initial prodrome of bipolar disorder: A systematic review. Journal of Affective Disorders, 126(1), 1–13. https://doi.org/10.1016/j.jad.2009.10.003
Naik, S. S., Manjunatha, N., Kumar, C. N., Math, S. B., & Moirangthem, S. (2020). Patient’s Perspectives of Telepsychiatry: The Past, Present and Future. Indian Journal of Psychological Medicine, 42(5_suppl), 102S107S. https://doi.org/10.1177/0253717620963341
NHS. (2024). Bipolar disorder. Nhs.uk. https://www.nhs.uk/mental-health/conditions/bipolar-disorder/