โรคซึมเศร้า

ปัจจุบันนี้โรคซึมเศร้าเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เราจึงพบว่าแท้จริงแล้วโรคซึมเศร้านั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวและมีผู้ป่วยเป็นโรคนี้เป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

 

องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ได้ให้ข้อมูลว่าจากการระบาดในช่วงปีแรกของโรคโควิด 19 นั้นพบว่ามีผู้ป่วยประสบภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้าทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 25%  ซึ่งสาเหตุนั้นเกิดจากการที่ต้องแยกตัวออกห่างจากสังคม ความกังวล ความเครียด ความกลัว รวมถึงปัญหาทางด้านการเงิน อย่างไรก็ตามหลายคนก็ไม่ทราบว่า เมื่อไหร่จะจึงเรียกว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เราลองมาทำความเข้าใจและประเมินอาการโรคซึมเศร้ากัน 

สาบัญบทความ

โรคซึมเศร้า คืออะไร

โรคซึมเศร้าเกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง 3 ชนิด คือ ซีโรโตนิน นอร์อิพิเนฟริน และโดปามีน สาเหตุของโรคซึมเศร้าสามารถเกิดจากทั้งพันธุกรรม เช่น ผู้ป่วยที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคทางด้านอารมณ์ จะมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าคนทั่วไป และเกิดจากสภาพแวดล้อม การเลี้ยงดูของครอบครัว ซึ่งตัวกระตุ้นอาจจะมาจากเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ จนส่งผลทำให้เกิดโรคซึมเศร้าตามมาได้ การป่วยเป็นโรคทางกายต่างๆ  เช่น ไทรอยด์ ลมชัก สมองเสื่อม หรือยารักษาโรคบางชนิดที่คนไข้รับประทาน ยาเสพติด หรือโรคทางด้านจิตเวชอื่น ๆ อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้าเช่นกัน

ประเภทของโรคซึมเศร้า

ประเภทโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้านั้นมีหลายประเภท ดังนี้ 

โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder)

ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักจะรู้สึกเศร้า ท้อแท้ สิ้นหวัง มีความรู้สึกไม่อยากทำอะไร เบื่อแม้แต่สิ่งที่เคยชอบทำ มีอาการติดต่อกัน 2 สัปดาห์ขึ้นไป น้ำหนักลดลง หรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รู้สึกไร้เรี่ยวแรง หงุดหงิด กระสับกระส่าย กระวนกระวายใจ รู้สึกสิ้นหวัง ไร้ค่า รู้สึกผิด อ่อนเพลีย มีปัญหาในการนอนหลับ เช่น นอนมากเกินไป หรือนอนไม่หลับ และอาจมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาและการรักษาจากแพทย์ต่อไป 

โรคซึมเศร้าเรื้อรัง (Dysthymia Depression)

ผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรังจะมีอาการรุนแรงน้อยกว่าโรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) ประเภทแรก แต่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเรื้อรังจะมีอาการต่อเนื่องนานอย่างน้อย 2 ปี ผู้ป่วยมักจะรู้สึกเบื่ออาหารหรือรับประทานอาหารมากเกินไป มีปัญหาด้านการนอน คือนอนมากเกินไปหรือนอนไม่หลับ เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย หมดหวัง หมดแรง และไม่มีสมาธิ  

อาการซึมเศร้าหลังคลอด (Postnatal Depression)

Mama Blues ซึมเศร้าหลังคลอด

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า มาม่าบลู  (Mama blues) เบบี้บลู (Baby blues) หรือภาวะอารมณ์เศร้าหลังคลอด ซึ่งจะพบได้ประมาณ 50-80% ของคุณแม่ ซึ่งจะพบอาการซึมเศร้าหลังคลอดได้ทั้งคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ครั้งแรกหรือเคยตั้งครรภ์มาแล้ว และพบได้ทุกช่วงอายุของการตั้งครรภ์ 

 

คุณแม่ที่มีอาการซึมเศร้ามักมีอารมณ์หม่นหมอง ไม่มีความสุข อารมณ์แปรปรวน โกรธง่าย เหงา วิตกกังวล คล้ายถูกทอดทิ้ง อยู่ ๆ ก็อาจร้องไห้ได้ นอนไม่หลับ ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดตั้งแต่ 1-3 วันแรกหลังคลอดซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก 

 

ทั้งนี้บางท่านอาจมีอาการไม่รุนแรง ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่จะมีอาการประมาณ 3-4 วัน และไม่เกิน 2 สัปดาห์ อาการจะหายไปเองจากการปรับตัวได้ และจากกำลังใจจากคนรอบข้าง แต่หากคุณแม่มีอาการรุนแรง และไม่สามารถหายได้เอง มีอาการต่อเนื่องนานเกิน 2 สัปดาห์ ควรรีบปรึกษาจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาให้เร็วที่สุด

โรคซึมเศร้าก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Dysphoric Disorder)

สำหรับโรคซึมเศร้าก่อนมีประจำเดือนผู้ป่วยมักมีอาการซึมเศร้าในช่วงก่อนมีประจำเดือน หรือช่วงสัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน เมื่อประจำเดือนมาแล้วอาการมักดีขึ้นภายใน 2-3 วัน อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ อารมณ์แปรปรวน เศร้า อารมณ์อ่อนไหวง่าย หงุดหงิด โมโหง่าย สิ้นหวัง ท้อแท้ เครียด วิตกกังวล  เบื่อ เหนื่อยง่าย สมาธิจดจ่อไม่ดีเหมือนเดิม อาจนอนไม่หลับ หรือนอนหลับได้ไม่ดี และอาจมีการเจ็บเต้านม ตัวบวม ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อร่วมด้วย 

โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder – SAD)

โรคซึมเศร้าตามฤดูกาลเป็นโรคที่มักเกิดขึ้นเฉพาะช่วงเวลา โดยมักพบมากในฤดูหนาวเนื่องจากเป็นช่วงที่เวลากลางคืนยาวนานกว่าช่วงกลางวัน คนไข้มักเกิดอาการซึมเศร้า หดหู่ เหนื่อยล้า แยกตัวออกจากสังคม ส่วนมากอาการมักจะหายไปภายในไม่กี่เดือน 

 

ปรึกษาโรคซึมเศร้ากับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาที่แอป BeDee สะดวก เป็นส่วนตัว ไม่ต้องเดินทาง

อาการโรคซึมเศร้า เป็นอย่างไร

ปัจจัยเสี่ยงโรคซึมเศร้า

สิ่งสำคัญที่จะทำให้เรารู้ทันภาวะซึมเศร้าคือการสังเกตตัวเอง รวมถึงการสังเกตจากคนใกล้ตัว ครอบครัว เพื่อนฝูง โดยอาการโรคซึมเศร้าที่ควรสังเกต ได้แก่

  • รู้สึกเศร้าหรือว่างเปล่าเป็นเวลานาน

  • ไม่มีความสุขหรือไม่รู้สึกสนใจกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่เคยชื่นชอบหรือทำแล้วมีความสุขในอดีต

  • หงุดหงิด กระสับกระส่าย กระวนกระวายใจ

  • รู้สึกสิ้นหวัง ไร้ค่า รู้สึกผิด

  • อ่อนเพลีย มีปัญหาในการนอนหลับ เช่น นอนมากเกินไป หรือนอนไม่หลับ

  • มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารเปลี่ยนไป

  • ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ 

  • มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร

  • มีปัญหาในการใช้สมาธิจดจำรายละเอียด หรือการตัดสินใจ

  • คิด พูดช้าลง 

  • คิดเรื่องความตายและการฆ่าตัวตาย

  • ใช้สารเสพติด

หากไม่แน่อาการว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าแล้วหรือยังสามารถทำแบบคัดกรอง (2Q) และแบบประเมินโรคซึมเศร้า (9Q)  เพื่อประกอบการประเมินอาการเบื้องต้นได้ตามลิงก์นี้

https://dmh.go.th/test/download/files/2Q%209Q%208Q%20(1).pdf

โรคซึมเศร้าในเด็ก

อาการซึมเศร้าสามารถเกิดได้ในทุกเพศทุกวัย คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตลูก โดยเฉพาะช่วงที่เด็กมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงวัยต่าง ๆ เช่น วัยที่ต้องเข้าเรียน หรือวัยรุ่น ความเครียดเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเพราะเด็ก ๆ ต้องปรับตัวเข้าสู่สังคมในโรงเรียน ไปเจอสังคมใหม่ ๆ ใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่น ลูกอาจจะไม่สามารถปรับตัวได้ทัน หรือไม่รู้จะจัดการกับความเครียดอย่างไร จึงเกิดความเครียดสะสม เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เริ่มเก็บตัว ไม่ค่อยพูด และเริ่มไม่อยากไปเรียน ซึ่งอาจจะเป็นอาการเบื้องต้นของโรคซึมเศร้าได้ เด็ก ๆ อาจมีอาการเหล่านี้ติดต่อกันอย่างน้อย 2 อาทิตย์ 

  • หงุดหงิดง่าย
  • เด็กมีอารมณ์ซึม เศร้า เฉื่อยชา ไม่อยากทำอะไร เบื่อหน่ายมากขึ้น
  • กลัวการไปโรงเรียน เกาะติดผู้ปกครอง 
  • เริ่มเก็บตัว ไม่ค่อยพูดจา หรือพูดน้อยลงกว่าเดิม
  • ผลการเรียนตก 
  • ต่อต้านสังคม ก้าวร้าว หนีโรงเรียน 
  • ใช้สารเสพติด
  • ไม่มีความสุข ถึงแม้จะเป็นกิจกรรมที่เคยชอบมาก่อน
  • ไม่อยากรับประทานอาหาร น้ำหนักลด หรือกินอาหารมากเกินไปในบางราย
  • นอนไม่ค่อยหลับ หรือตื่นเร็วกว่าปกติ ในบางรายอาจนอนทั้งวัน
  • ไม่มีสมาธิในการเรียน เรียนไม่เข้าใจ ความจำแย่ลง
  • รู้สึกผิด โทษตัวเอง รู้สึกไร้ค่า
  • แอบร้องไห้คนเดียว
  • ใครทำอะไรก็ผิดหูผิดตา ไม่พอใจไปซะหมด
  • อยากฆ่าตัวตาย หรือบ่นว่าอยากตาย

โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุเป็นอีกกลุ่มที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายอย่างมาก เนื่องจากร่างกายเกิดความเสื่อมถอย เราพบว่าผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยผู้ป่วยมักมีอาการทางกาย และอาการอื่น ๆ ดังนี้

  • รับประทานอาหารน้อยลง
  • เบื่อหน่าย
  • ไม่อยากออกไปไหน
  • รู้สึกไร้ค่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป 
  • มีปัญหาการนอน นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ
  • หงุดหงิด ฉุนเฉียว
  • รู้สึกว่าตัวเองไม่สบาย ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย
  • พูดคุยน้อยลง

อาการแบบนี้ เป็นโรคซึมเศร้าหรือโรคอื่นๆ

โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder)

เป็นโรคที่ผู้ป่วยมีความผิดปกติทางอารมณ์ กล่าวคือผู้ป่วยจะมีช่วงที่เป็นขั้วอารมณ์ซึมเศร้า และช่วงที่เป็นขั้วอารมณ์ดีหรือหงุดหงิดสลับกันไป ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์อาจจะเริ่มต้นด้วยอาการซึมเศร้าก่อน และได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคซึมเศร้า เมื่อรับการรักษาจึงเปลี่ยนเป็นอีกขั้วหนึ่ง จึงได้รับการวินิจฉัยเป็นไบโพลาร์ในภายหลัง ซึ่งแพทย์จะประเมินด้วยการซักประวัติจากทั้งผู้ป่วย และคนรอบข้าง ประวัติครอบคัว รวมถึงลักษณะอาการอื่น ๆ เพื่อวินิจฉัยต่อไป 

โรควิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder)

หลายครั้งมักพบว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้านั้นมักจะมีภาวะวิตกกังวลร่วมด้วย ซึ่งอาการของโรควิตกกังวลทั่วไปนั้นผู้ป่วยจะมีความกังวลที่มากเกินไปในหลาย ๆ เหตุการณ์หรือกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เรื่องงาน เรื่องการเรียน มีอาการเกือบทุกวัน โดยผู้ป่วยจะมีอาการดังนี้

  • รู้สึกว่าตัวเองมีความกังวลแต่ไม่สามารถควบคุมความกังวลนั้นได้
  • มีอาการทางด้านร่างกายอย่างน้อย 3 อาการ เช่น กระสับกระส่าย อ่อนเพลีย หงุดหงิด ปวดเมื่อยตึงกล้ามเนื้อ สมาธิลดลง นอนหลับยาก หรือนอนหลับไม่สนิท หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ
  • ความกังวลหรืออาการทางด้านร่างกายดังกล่าวส่งผลให้เกิดความทุกข์ หรือมีผลกระทบ รบกวนการทำงาน การใช้ชีวิต
 
ทำแบบประเมินโรคซึมเศร้ากับพยาบาลที่แอป BeDee ไม่มีค่าใช้จ่าย !

ปัจจัยเสี่ยงนำไปสู่โรคซึมเศร้า

  • คนในครอบครัวมีประวัติการเป็นโรคซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย เป็นโรคทางจิตเวชอื่น ๆ หรือมีประวัติการติดสุราเรื้อรัง
  • มีประวัติการป่วยเป็นโรคทางจิตเวช เช่น โรควิตกกังวล 
  • ลักษณะนิสัย เช่น เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ชอบดูถูกและตำหนิตัวเอง 
  • เจ็บป่วยเรื้อรัง
  • ใช้ยานอนหลับ 
  • เคยผ่านเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง เช่น การสูญเสียบุคคลสำคัญในครอบครัว สูญเสียบุคคลที่รัก ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกทารุณกรรมทางเพศ 
  • ไม่ได้ยอมรับจากคนรอบข้าง เช่น การเบี่ยงเบนทางเพศสภาพ 

สาเหตุของโรคซึมเศร้า

สาเหตุโรคซึมเศร้า

สาเหตุของการเกิดโรคซึมเศร้าสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 สาเหตุ ดังนี้

  1. สาเหตุทางกายภาพ
  2. สาเหตุทางพันธุกรรม ผู้ป่วยที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคทางอารมณ์ จะมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าคนทั่วไป 
  3. สาเหตุทางจิตสังคม ได้แก่ เหตุการณ์สำคัญในชีวิต สิ่งแวดล้อม ลักษณะนิสัย   หรือการเลี้ยงดูของครอบครัว 

โรคซึมเศร้า วินิจฉัยอย่างไร

การวินิจฉัยโรคซึมเศร้าแพทย์จะใช้อาการในการวินิจฉัยเป็นหลัก โดยอ้างอิงตามเกณฑ์การวินิจฉัยโรคซึมเศร้า DSM-5 Criteria ดังนี้

 

ผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ 5 อาการ หรือมากกว่า 

 

  1. มีอารมณ์ซึมเศร้าแทบทั้งวัน และแทบทุกวัน ผู้ป่วยอาจจะบอกว่า รู้สึกเศร้า ว่างเปล่า สิ้นหวัง หรือผู้อื่นอาจจะสังเกตว่าผู้ป่วยร้องไห้ง่ายขึ้น (ในเด็กและวัยรุ่นอาจเป็นอารมณ์หงุดหงิด)
  2. ความสนใจ หรือความเพลินใจในกิจกรรมต่าง ๆ แทบทั้งหมดลดลงอย่างมากเกือบทุกวัน
  3. น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก (น้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากกว่าร้อยละ 5 ต่อเดือน) หรือมีการเบื่ออาหารหรือเจริญอาหารมาก
  4. นอนไม่หลับ หรือหลับมากเกินไป
  5. กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข หรือเชื่องช้าลง
  6. อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 
  7. รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า หรือรู้สึกผิดมากเกินไป 
  8. สมาธิลดลง ใจลอย ลังเล
  9. คิดเรื่องการตาย คิดอยากตาย หรือพยายามฆ่าตัวตาย 

โดยผู้ป่วยต้องมีอาการในข้อ 1 หรือ 2 อย่างน้อย 1 ข้อ ยาวนาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป และต้องมีอาการเหล่านี้อยู่แทบจะตลอดเวลาและเกือบทุกวัน 

 

อาการจะส่งผลให้เกิดความทุกข์อย่างชัดเจน หรือส่งผลต่อหน้าที่ต่าง ๆ เช่น การเรียน การงาน ด้านสังคม หรือหน้าที่ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับวัยนั้นหรืออาชีพนั้น ๆ ภาวะซึมเศร้านี้ไม่ได้เกิดจากการใช้สารเสพติด หรือโรคทางกาย

การรักษาโรคซึมเศร้า

รักษาโรคซึมเศร้า

รักษาด้วยจิตบำบัด 

สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง แพทย์อาจจะใช้วิธีรักษาด้วยจิตบำบัดเพียงอย่างเดียว แต่ในผู้ป่วยที่มีระดับความรุนแรงของอาการปานกลาง หรือรุนแรง แพทย์จะรักษาด้วยการใช้จิตบำบัดควบคู่กับการรับประทานยา การรักษาด้วยจิตบำบัดนั้นมีทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว หลากหลายรูปแบบ ได้แก่ จิตบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy)  พฤติกรรมบำบัด จิตบำบัดระหว่างบุคคล ครอบครัวบำบัด การฝึกทักษะต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการจัดการความเครียด ทักษะการจัดการความโกรธ ทักษะการสื่อสาร เป็นการสร้างเสริมทักษะชีวิต ทั้งนี้สามารถใช้จิตบำบัดร่วมกับการรับประทานยาในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากขึ้นได้ 

รักษาด้วยยา 

สำหรับคนไข้ที่มีอาการรุนแรงมากขึ้นแพทย์จะรักษาด้วยการจ่ายยาเพื่อปรับสารสื่อประสาทในสมอง ช่วยควบคุมอารมณ์ของคนไข้ ในบางรายอาจใช้การรักษาด้วยการพูดคุยร่วมด้วย การเลือกยาจะเลือกตามชนิดของโรคซึมเศร้าที่ผู้ป่วยเป็น  สิ่งสำคัญของการรักษาด้วยยาคือคนไข้ต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง และควรรับประทานอย่างน้อย 6 เดือน หรือเท่ากับระยะเวลาที่อาการของโรคกำเริบในช่วงก่อนหน้า เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งสามารถลดจำนวนรอบที่เป็น และความรุนแรงของโรคซึมเศร้าได้ด้วย หากรับประทานยาจนครบกำหนดแล้วแพทย์จะค่อย ๆ ปรับยาลดลง ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาเองเพราะจะทำให้อาการกำเริบได้

รักษาด้วยไฟฟ้า

การรักษาด้วยไฟฟ้าคือการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าผ่านศีรษะเพื่อไปกระตุ้นเซลล์สมองผ่านสมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาการซึมเศร้าและอาการทางจิตเวช วิธีนี้เหมาะสำหรับคนไข้ที่ใช้การรักษาด้วยการพูดคุยและการใช้ยาไม่ได้ผลหรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง

ยารักษาโรคซึมเศร้า มีผลข้างเคียงไหม

ยารักษาโรคซึมเศร้ามีหลายกลุ่มและหลายชนิด กลไกของยาแต่ละกลุ่มจะแตกต่างกัน และผลข้างเคียงของยาแต่ละชนิดก็แตกต่างกันเช่นกัน สำหรับอาการข้างเคียงนั้นขึ้นอยู่กับตัวยาและปริมาณที่ผู้ป่วยรับประทาน อาการข้างเคียงที่พบได้ เช่น คลื่นไส้ มีอาการทางระบบทางเดินอาหารอื่น ๆ ทำให้น้ำหนักลด ปวดศีรษะ ปากแห้ง มีปัญหาการนอน ทั้งง่วงนอน นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย มือสั่น หรือมีปัญหาเรื่องเพศ 

 

ผู้ป่วยอาจจะพบผลข้างเคียงในช่วงแรกของการรับประทานยา ดังนั้นในช่วงแรกของการรักษาแพทย์จะสั่งยาขนาดต่ำให้ผู้ป่วยรับประทานและค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้น หากผู้ป่วยสามารถทนต่อยาได้หลังจากผ่านช่วงแรกไป อาการจะกลับมาเกือบเป็นปกติ หากผู้ป่วยไม่สามารถทนต่อยาได้ควรกลับมาปรึกษาแพทย์เพื่อขอเปลี่ยนยา ไม่ควรหยุดยาด้วยตัวเอง

หากมีคนใกล้ตัวเป็นโรคซึมเศร้า ควรทำอย่างไร

หลายคนคงเคยมีประสบการณ์ที่คนใกล้ตัวหรือคนในครอบครัวของเราป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งในฐานะคนใกล้ชิดกับผู้ป่วยนั้นเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับผู้ป่วย 

 

1. พูดคุยและรับฟังผู้ป่วย

 

สำคัญอย่างยิ่งที่เราควรเป็นผู้รับฟังที่ดีสำหรับผู้ป่วย และพูดคุยกับผู้ป่วยด้วยความเข้าใจ ข้อสำคัญที่ควรตระหนักถึงคือจะต้องไม่รบเร้าให้ผู้ป่วยพูดหรือเล่าในสิ่งที่เขาไม่อยากพูดถึง ญาติควรทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจและไว้วางใจที่จะพูดคุยกับเรา ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอาจรู้สึกน้อยใจ หรือไม่สบายใจกับคำพูดได้ง่าย ดังนั้นญาติควรพูดคุยด้วยความใจเย็น แสดงให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าเราพร้อมช่วยเหลือผู้ป่วย 

 

2. ทำความเข้าใจโรคซึมเศร้า

 

ญาติหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยควรทำความเข้าใจโรคซึมเศร้าและอาการเพื่อให้เข้าใจความรู้สึกของผู้ป่วย และทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับผู้ป่วยได้อย่างเข้าใจมากขึ้น ไม่กล่าวโทษว่าผู้ป่วยทำตัวไม่ดี ไม่เหมาะสม เพราะนั่นอาจเป็นอาการของโรค

 

3. สนับสนุน ให้กำลังใจผู้ป่วยในการรักษา

 

ญาติหรือผู้ใกล้ชิดอาจสนับสนุนและให้กำลังใจผู้ป่วยด้วยการไปพบแพทย์เป็นเพื่อนผู้ป่วย คอยอยู่เคียงข้างผู้ป่วย รับฟัง และสนับสนุนผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยมีกำลังใจในการรักษามากยิ่งขึ้น

 

4. สังเกตสัญญาณเตือนต่อการฆ่าตัวตาย

 

หลายครั้งกว่าเราจะรู้ว่าคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคซึมเศร้าก็อาจจะสายเกินไป ญาติและผู้ใกล้ชิดควรสังเกตอาการของผู้ป่วยอยู่เสมอ เช่น ผู้ป่วยเริ่มมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเองหรือไม่ หรือผู้ป่วยพูดว่าอยากฆ่าตัวตายอย่างชัดเจน หากญาติพบว่าผู้ป่วยเริ่มมีพฤติกรรมเหล่านี้ควรรีบพาผู้ป่วยมาพบแพทย์โดยด่วน 

 

5. ช่วยเหลือผู้ป่วยในการใช้ชีวิตประจำวัน

 

ญาติควรสนับสนุนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยโดยการชวนผู้ป่วยไปทำกิจกรรมที่ผู้ป่วยเคยชื่นชอบ หรือทำกิจกรรมใหม่ๆ เช่น การออกกำลังกาย ออกไปเดินเล่น วาดรูป เน้นการเข้าใจผู้ป่วยและสนับสนุนผู้ป่วยในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสบายใจมากที่สุด

 

ปรึกษาวิธีการดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้ากับจิตแพทย์และนักจิตวิทยาที่แอป BeDee สะดวก เป็นส่วนตัว ไม่ต้องเดินทาง

การป้องกันโรคซึมเศร้า

ป้องกันโรคซึมเศร้า

สำหรับใครที่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าแต่กำลังกลัดกลุ้ม วิตกกังวล มีเรื่องไม่สบายใจ สามารถป้องกันหรือจัดการกับความกังวลดังกล่าวนั้นได้ด้วยวิธีเหล่านี้ 

 

  • พูดคุยกับคนที่เราไว้ใจเกี่ยวกับอารมณ์หรือเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกเศร้า
  • พบปะ พูดคุยกับเพื่อนและครอบครัวสม่ำเสมอ
  • ออกกำลังกาย
  • พาตัวเองออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ 
  • ทำกิจกรรมที่เคยทำแล้วรู้สึกมีความสุข
  • ทำตามแผน ไม่ทำตามอารมณ์
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้เป็นเวลา
  • หมั่นสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง
  • ฝึกวิธีการผ่อนคลายต่าง ๆ (Relaxation technique) เช่น หายใจเข้าออกลึก ๆ เล่นโยคะ หรือจินตนาการถึงสิ่งที่ชอบและทำให้มีความสุข
  • ฝึกทักษะต่าง ๆ เช่น ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะสังคม ทักษะการสื่อสาร ทักษะระหว่างบุคคล
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า รักษาหายไหม?

ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าสามารถรักษาหายได้ จากข้อมูลโดยทั่วไปหากคนไข้ไม่รักษาอาการซึมเศร้า อาการดังกล่าวอาจจะหายภายใน 6-13 เดือน แต่หากคนไข้ได้รับการรักษาอาการอาจหายได้ภายใน 3 เดือน

ทั้งนี้ควรรับประทานยารักษาอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน หลังอาการดีขึ้นแล้วเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

รักษาโรคซึมเศร้าด้วยตัวเองได้ไหม?

โรคซึมเศร้าสามารถหายเองได้ ในผู้ป่วยที่อาการน้อย การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ เช่น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ดี การได้รับความช่วยเหลือจากสังคม และมีทักษะการจัดการความเครียด อาจจะทำให้อาการลดลงและหายได้เอง 

 

อย่างไรก็ตา ในผู้ป่วยที่เป็นซึมเศร้าที่รุนแรงกว่า จำเป็นจะต้องได้รับการรักษาเพื่อให้อาการดีขึ้นและป้องกันภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาจะเกิดผลกระทบต่อชีวิต ความสัมพันธ์ งาน และชีวิตความเป็นอยู่โดยรวม และอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมา เช่น การใช้สารเสพติด การทำร้ายตัวเอง และมีความคิดอยากตาย 

เพิ่มยารักษาโรคซึมเศร้าด้วยตนเองได้หรือไม่?

ผู้ป่วยไม่ควรเพิ่มยาต้านเศร้าด้วยตัวเอง ควรปรึกษาแพทย์หากคิดว่าอาการแย่ลงหรือยาที่รับประทานอยู่ไม่สามารถช่วยให้อาการดีขึ้นได้ 

ใช้ธรรมะรักษาโรคซึมเศร้าได้ไหม?

โรคซึมเศร้าเป็นภาวะทางจิตใจที่เกี่ยวกับสื่อสารประสาทในสมอง การทำงานของสมอง และสิ่งแวดล้อม การรักษาโรคซึมเศร้าที่ได้ผลคือการใช้ยาและการทำจิตบำบัด เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) หรือ Interpersonal therapy (IPT) และวิธีอื่น ๆ ที่มีหลักฐานทางงานวิจัย 

 

การฝึกสติ นั่งสมาธิ เป็นหนึ่งในหลักของพระพุทธศาสนาที่แสดงว่าสามารถลดอาการซึมเศร้าได้ สามารถใช้ธรรมะเป็นการรักษาเสริมจากการรักษาหลัก ไม่ควรใช้ธรรมะเพียงอย่างเดียว  เช่น การรักษาที่เรียกว่า Mindfulness-based cognitive therapy (MBCT) เป็นจิตบำบัดแบบหนึ่งที่ผสมระหว่างการฝึกสติ กับเทคนิคการปรับความคิดและพฤติกรรมและมีหลักฐานว่าสามารถลดอาการซึมเศร้าได้ 

 

โดยสรุปแล้วธรรมะสามารถช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ และทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ป่วยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและรับการรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์เป็นหลัก

สรุปเรื่องโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่รักษาได้และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยชรา สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองและการสังเกตจากคนรอบข้าง เพื่อป้องกันเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจนำไปสู่การสูญเสีย ปัจจุบันการพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไป ถึงแม้เราอาจจะยังไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าหรือมีภาวะซึมเศร้าก็สามารถปรึกษา พูดคุย กับจิตแพทย์ได้ การมีสุขภาพที่ดีนั้นไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่จิตใจยังเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรามีแรงใจในการใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขด้วย

 

Content powered by BeDee’s experts

พญ.มัญชุกร ลีละตานนท์

จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

 

เรียบเรียงโดย 

กรวรรณ ใจซื่อกุล

  • American Psychiatric Association. (n.d.). What Is Depression?. Retrieved April 18, 2023, from https://www.psychiatry.org/patients-families/depression/what-is-depression

  • Association, A. P. (2015). Depressive Disorders: DSM-5® Selections. American Psychiatric Pub.

  • Sadock, B. J., Sadock, V. A., & Ruiz, P. (2015). Kaplan and Sadock’s synopsis of psychiatry: Behavioral sciences/clinical psychiatry (11th ed.). Wolters Kluwer Health.

รักษาโรคซึมเศร้าที่ไหนดี

หากพบว่าคนใกล้ตัวของเรามีอาการเข้าข่ายที่จะเป็นโรคซึมเศร้า รู้สึกเครียด จัดการอารมณ์และชีวิตไม่ได้ หรือมีความกังวล การปรึกษาจิตแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางเพื่อหาทางออกเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรรีบทำมากที่สุด เพราะหากปล่อยไว้นานอาจจะทำให้อาการรุนแรงมากขึ้นและยากต่อการรักษา 

 

BeDee มีทีมจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาทุกวัน สะดวก ไม่ต้องเดินทาง เพียงทำนัดล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน BeDee ตามเวลาที่คุณสะดวก ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากเครือ BDMS พร้อมช่วยเหลือคุณทุกวัน สอบถามเพิ่มเติม Line Official : @BeDeebyBDMS

บทความที่เกี่ยวข้อง

วิธีพูดกับคนเป็นไบโพลาร์ ถ้าหากมีคนใกล้ตัวเป็นไบโพลาร์ หลายคนก็อาจมีความกังวลว่า แล้วเราต้องพูดกับเขาอย่างไร ถ้าหากอยากให้กำลังใจ ควรจะต้องใช้คำพูดแนวไหน วันนี้เราได้รวบรวมวิธีคุยกับคนเป็นไบโพลาร์มาไว้แล้ว เชื่อว่าหากได้นำวิธีที่แนะนำไปปรับใช้กับแนวท

แบบประเมินความเครียดเป็นเครื่องมือคัดกรองโรคเครียดรูปแบบหนึ่ง เวลาที่เราเครียดเรามักประเมินความเครียดในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็สังเกตจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เช่นนอนไม่หลับ, ปวดหัวเรื้อรัง, กรดไหลย้อน, ท้องอืด เป็นต้น หรือประเมินควา