ยาโรคซึมเศร้า

Disclaimer: ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถทดแทนการให้คำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง

สารบัญบทความ

การดูแลผู้ป่วยกลุ่มจิตเวช ทั้งโรควิตกกังวล, โรคซึมเศร้า หรือ ซึมเศร้าเรื้อรัง และโรคอื่น ๆ ต้องอาศัยการดูแลทั้งทางร่างกายและจิตใจควบคู่กัน ยาต้านเศร้า ถือเป็นทางเลือกสำคัญที่แพทย์พิจารณาใช้ ยาโรคซึมเศร้ามีผลในการแก้ไขและรักษาสมดุลของสารเคมีหรือสารสื่อประสาทในสมอง (neurotransmitter) อาทิ เซโรโทนิน (serotonin, 5-HT) , โดพามีน (dopamine, DA) และ นอร์อิพิเนฟรีน (norepinephrine, NE) ซึ่งสารสื่อประสาทเหล่านี้มีผลต่ออารมณ์ ความคิด ความอยากอาหาร ทำให้ผู้ป่วยมีอาการค่อย ๆ ดีขึ้น

 

โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่ต้องใช้เวลาในการรักษาและกินยาปรับสารเคมีในสมอง โดยต้องทานยาซึมเศร้าในระยะหนึ่งจนกว่าจะเริ่มเห็นผล และจำเป็นต้องกินยาซึมเศร้าอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอควบคู่ไปกับการปรึกษาจิตแพทย์ หรือในบางรายอาจเลือกปรึกษานักจิตวิทยากับจิตแพทย์ควบคู่ไปด้วยกัน

 

ปัจจุบันมีกลุ่มโรคทางจิตเวชอื่น ๆ อีกหลายโรคที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าอาการเหล่านี้อาจเป็นหนึ่งในโรคทางอารมณ์ได้เช่นกัน เช่น ซึมเศร้าหลังคลอด หรือแม้แต่อาการ Smiling depression

 

รู้จักโรคนี้เพิ่มเติม: Smiling depression คืออะไร

ทำความรู้จักกับยาต้านเศร้า 

ก่อนที่จะรู้จักยาซึมเศร้าจำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่าผู้ป่วยที่เป็นซึมเศร้ามักจะมีสมดุลของสารสื่อประสาทในสมองผิดปกติ ดังนั้นยารักษาโรคซึมเศร้า จึงเป็นยาปรับสารเคมีในสมอง ในปัจจุบันแบ่งยาต้านเศร้าได้หลายกลุ่มตามกลไกการออกฤทธิ์ ซึ่งยาซึมเศร้าแต่ละกลุ่มมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน การเลือกใช้ยาซึมเศร้าขึ้นกับการพิจารณาของแพทย์ และในผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องได้ยาหลายชนิดร่วมกัน

ประเภทและกลไกการออกฤทธิ์ของยาซึมเศร้า

Disclaimer: ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถทดแทนการให้คำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง

ยาโรคซึมเศร้า มีอะไรบ้าง? เมื่อแบ่งยาต้านซึมเศร้าตามกลไกการออกฤทธิ์ สามารถแบ่งกลุ่มยารักษาซึมเศร้าได้ดังนี้

ยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRIs (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors)

ยาซึมเศร้าในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการดูดซึมซีโรโตนินกลับเข้าเซลล์ (serotonin reuptake inhibitor: SSRI) ทำให้ซีโรโตนินเพิ่มขึ้นบริเวณส่วนต่อระหว่างเซลล์ประสาท

ยาต้านเศร้ากลุ่ม SNRIs (Serotonin and Norepinephrine Reuptake Inhibitors)

ยากลุ่ม SNRIs ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการดูดซึมซีโรโตนิน และนอร์อิพิเนพฟรีนกลับเข้าเซลล์ ทำให้ซีโรโตนินและนอร์อิพิเนพฟรีนเพิ่มขึ้นบริเวณส่วนต่อระหว่างเซลล์ประสาท

ยาต้านเศร้ากลุ่ม TCA (Tricyclic antidepressant)

ยารักษาอาการซึมเศร้าในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ลดอาการซึมเศร้าโดยการไปเพิ่มระดับ ของ norepinephrine (NE) และ serotonin (5-HT) ในสมองจากการที่ยาไปยับยั้งการดูดซึมกลับเข้าเซลล์ของสารสื่อประสาทได้แก่ NE และ 5-HT กลับเข้าไปในปลายประสาท และจากการที่ยาไปยับยั้ง presynaptic alpha-2 adrenoceptors ยาในกลุ่ม TCAs จะเห็นผลรักษาอารมณ์เศร้าเมื่อใช้ยาไปแล้วนาน 2-3 สัปดาห์

ยาต้านเศร้ากลุ่ม MAOI (Monoamine oxidase inhibitor) 

ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ monoamine oxidase (MAO) ทำให้การเมแทบอลิซึมของ norepinephrine, dopamine และ serotonin ลดลง ทำให้ความเข้มข้นของสารสื่อประสาทเหล่านี้ภายนอกเซลลม์มีมากขึ้น เช่น Moclobemide ในปัจจุบันยาซึมเศร้ากลุ่มนี้ไม่เป็นที่นิยมมากนัก เนื่องจากอาจส่งผลกับยาตัวอื่นที่มีผลในการเพิ่มระดับซีโรโทนิน โดยเฉพาะการได้ร่วมกับยากลุ่ม SSRIs ส่งผลให้เกิดภาวะ serotonin syndrome อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ดังนั้นหากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนยาต้านเศร้าจากกลุ่ม MAOIs เป็น SSRIs ต้องหยุดยาต้านเศร้าในกลุ่ม MAOIs อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อน ถึงจะเริ่มใช้ SSRIs ยากลุ่ม MAOIs 

 

 

 

ต้องการปรึกษาเรื่องการใช้ยาซึมเศร้า ผลข้างเคียงยาซึมเศร้า ปรึกษาเภสัชกร ไม่มีค่าใช้จ่าย

ยาต้านเศร้าช่วยรักษาอาการเศร้าได้อย่างไร

ยาแก้ซึมเศร้า กลไกการทำงาน

ยาต้านซึมเศร้ามีผลเพิ่มระดับสารสื่อประสาท (neurotransmitter) พวกซีโรโตนิน นอร์อิพิเนฟฟรีน  ซึ่งมีความสัมพันธ์กับอารมณ์และความรู้สึก นอกจากนี้ neurotransmitter ดังกล่าวยังมีผลต่อการส่งสัญญาณประสาทของระบบความเจ็บปวด (pain signal) จากเส้นประสาท ยาโรคซึมเศร้าจึงสามารถใช้ในการรักษาอาการปวดแบบเรื้อรังได้ด้วยเช่นกัน การใช้ยาซึมเศร้าเพื่อปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมองนั้นจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถึงจะเริ่มเห็นผล ดังนั้นผู้ที่กินยาปรับอารมณ์จำเป็นต้องกินยาต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่ลดขนาดยาเองในช่วงแรก และจำเป็นต้องเข้าใจในหลักการนี้ แต่หากกินยาไปแล้ว 4 สัปดาห์ ยังรู้สึกว่าอาการไม่ดีขึ้น ให้กลับไปพบแพทย์ตามนัดและแจ้งแพทย์ทราบ เพื่อพิจารณาปรับเปลี่ยนการรักษาให้เหมาะสม

ผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านเศร้า

ผลข้างเคียงยาซึมเศร้าที่พบได้มักจะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของการกินยา แล้วอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันตามกลุ่มยาปรับสารเคมีในสมอง โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ 

  • ยากลุ่ม SSRIs และ SNRIs 

อาการข้างเคียงที่สำคัญ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง ท้องเสีย เบื่ออาหาร ปากแห้ง ปวดหัว นอนไม่หลับหรือง่วงซึม เหงื่อออก กระสับกระส่าย สมรรถภาพทางเพศแย่ลง หรืออาจทำให้เกิดอาการ สับสน มือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก เดินเซ เหงื่อแตก และท้องเสีย ควรหยุดยาและพบแพทย์ทันที ในระหว่างการรักษาอาจมีความคิดฆ่าตัวตายเกิดขึ้น ควรปรึกษาแพทย์โดยด่วน 

นอกจากนี้ควรระมัดระวังการใช้ยาในกลุ่ม SSRIs และ SNRIs ร่วมกับยาอื่น โดยเฉพาะการได้ร่วมกับยาที่มีผลระดับ serotonin เช่น การได้ SSRI, SNRI ร่วมกัน หรือการได้ร่วมกับยากลุ่ม MAOIs ส่งผลให้เกิดภาวะ serotonin syndrome ส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้ 

  • ยากลุ่ม TCA

อาการข้างเคียงของยาต้านเศร้าในระยะแรก ได้แก่ ง่วง อ่อนเพลีย เจริญอาหารหรือเบื่ออาหาร ปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่ามัว ปัสสาวะคั่ง หัวใจเต้นเร็ว สับสน น้ำหนักเพิ่มขึ้น อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่อันตรายและสามารถหายไปได้เอง เนื่องจากยานี้มีผลต่อระดับความรู้สึก จึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ การทำงานกับเครื่องจักรกลที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ขณะใช้ยา

ยาปรับอารมณ์ซึมเศร้าอาจส่งผลต่อแต่ร่างกายแต่ละคนแตกต่างกันออกไป ปรึกษาเภสัชกรเพิ่มเติม ไม่มีค่าใช้จ่าย