ซึมเศร้านานไม่หายอาจเป็น “ซึมเศร้าเรื้อรัง”
โรคซึมเศร้าเรื้อรัง คือ โรคซึมเศร้าอีกประเภทหนึ่งที่ถึงแม้ว่าอาการจะรุนแรงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับโรคซึมเศร้าที่เรารู้จักกัน หากแต่บั่นทอนจิตใจของเราเป็นระยะเวลานานหลายปี จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเช่นเดียวกับโรคทางจิตเวชอื่น ๆ เรามาทำความรู้จักโรคนี้กัน
โรคซึมเศร้าคืออะไร? ลองอ่านบทความ : รู้จักกับโรคซึมเศร้า วิธีสังเกตอาการ สาเหตุ และการดูแลจิตใจ
ซึมเศร้าเรื้อรัง คือ
โรคซึมเศร้าเรื้อรัง (Dysthymia หรือ Persistent Depressive Disorder (PDD)) คือความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มภาวะซึมเศร้า (Depressive Disorders) ที่ถึงแม้ว่าอาการจะรุนแรงน้อยกว่า (เมื่อเทียบกับโรคซึมเศร้า หรือ Major Depressive Disorder) แต่ก็สามารถทำให้เกิดความทุกข์หรือส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันไม่แตกต่างจากโรคซึมเศร้า โดยโรคซึมเศร้าเรื้อรังนั้นจะกินระยะเวลานานอย่างน้อย 2 ปี ผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรังนี้อาจมีเพียงโรคซึมเศร้าเรื้อรังเพียงอย่างเดียวหรืออาจพบร่วมกันกับโรคซึมเศร้าได้ โดยโรคซึมเศร้าที่พบร่วมกันกับโรคซึมเศร้าเรื้อรังนั้นอาจเกิดคู่กันอย่างต่อเนื่องอย่างตลอดเวลาหรืออาจเกิดเป็นช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งได้ อาการที่สามารถพบได้ เช่น
- ความผิดปกติของอารมณ์ เช่น อารมณ์เศร้า ไม่มีความสุข หรืออารมณ์หงุดหงิด
- ความผิดปกติของความคิด เช่น ขาดความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกสิ้นหวัง ตัดสินใจไม่ได้ ความบกพร่องของสมาธิ
- ความผิดปกติของการทำงานของร่างกาย เช่น ความผิดปกติของการกิน การนอน หรือเรี่ยวแรงที่ลดลง ซึ่งอาจพบได้น้อยกว่าโรคซึมเศร้า
ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบโรคซึมเศร้าเรื้อรังกับโรคซึมเศร้าที่เรารู้จักกันแล้วนั้น โรคซึมเศร้าเรื้อรังอาจจะถูกมองว่ารุนแรงน้อยกว่า แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน เพื่อบรรเทาความทุกข์และผลกระทบที่มีต่อการใช้ชีวิตที่เกิดขึ้น
ซึมเศร้าเรื้อรัง (Dysthymia) ต่างกับซึมเศร้าอย่างไร
ดังที่กล่าวไปข้างต้นถึงความแตกต่างในแง่ระยะเวลาและความรุนแรงระหว่างโรคซึมเศร้าเรื้อรัง (Dysthymia) และโรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) ที่ตัวโรคซึมเศร้าเรื้อรังนั้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการที่รุนแรงน้อยกว่าโรคซึมเศร้า แต่จะมีอาการของโรคยาวนานอย่างน้อย 2 ปี ซึ่งภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นก็อาจจะมีช่วงที่อาการดีขึ้นได้เช่นกัน แต่ช่วงเวลาที่อาการดีขึ้นนั้นจะไม่คงอยู่ต่อเนื่องนานเกิน 2 เดือน
ในทางกลับกันนั้น โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) จำเป็นที่จะต้องมีอาการต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และอาการมักไม่ได้คงอยู่เป็นเวลานานต่อเนื่อง 2 ปีเฉกเช่นกับโรคซึมเศร้า (หากไม่มีภาวะอื่นร่วมด้วย) เนื่องจากอาการของโรคซึมเศร้านั้นถึงแม้จะไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมก็ตาม โดยส่วนใหญ่แล้วจะคงอยู่โดยเฉลี่ยประมาณ 6-13 เดือน ในขณะที่หากได้รับการรักษาที่เหมาะสมแล้วอาการมักจะลดลงได้ภายใน 3 เดือน นอกจากการรักษาจะช่วยย่นระยะเวลาโรคซึมเศร้าลงแล้วยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดซ้ำของโรคซึมเศร้าได้อีกด้วย เนื่องจากหากไม่ได้รับการรักษาและปล่อยให้เกิดภาวะซึมเศร้าขึ้นซ้ำ ๆ การกำเริบของโรคซึมเศร้าในครั้งต่อ ๆ ไปจะมีความรุนแรงและความถี่มากขึ้น
ปรึกษาอาการซึมเศร้าเรื้อรังกับจิตแพทย์และนักจิตวิทยาที่แอป BeDee สะดวก เป็นส่วนตัว ไม่ต้องเดินทาง
สาเหตุของซึมเศร้าเรื้อรัง
ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคซึมเศร้าเรื้อรังได้อย่างแน่ชัด แต่หลักฐานเชิงประจักษ์ในปัจจุบันชี้ว่า อาจเกิดจากปัจจัยต่างหลายอย่างที่มีปฏิกริยาต่อกัน โดยสามารถจัดกลุ่มได้ดังนี้
- ปัจจัยทางชีววิทยา
- ระบบประสาทส่วนกลางมีความผิดปกติของการทำงานเชิงสรีรวิทยาและสมดุลของสารเคมี/สารสื่อประสาท ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้มีหลายส่วน เช่น
- ส่วนที่คล้ายคลึงกับโรคซึมเศร้า เช่น การนอนหลับที่มีการเคลื่อนไหวของลูกตาอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ (Decreased REM Latency) และมีความชุกที่สูงขึ้น (Increased REM Density) ในทั้งโรคซึมเศร้าและโรคซึมเศร้าเรื้อรัง
- ส่วนที่แตกต่างกับโรคซึมเศร้า เช่น ในกลุ่มผู้ป่วยภาวะซึมเศร้าเรื้อรังนั้นจะพบความผิดปกติในการทำงานของต่อมหมวกไตจาก Dexamethasone-suppression Test หรือ DST ได้น้อยกว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
- พันธุกรรม การศึกษาแฝดเหมือน (Twin Study) อธิบายการเกิดความผิดปกติของอารมณ์ได้ 50-70% ของสาเหตุความผิดปกติของอารมณ์ทั้งหมด
- สารเสพติดและความผิดปกติทางกาย มีความสัมพันธ์ที่หลากหลายกับภาวะซึมเศร้า ตัวอย่างเช่น
- ภาวะซึมเศร้าเป็นผลโดยตรงจากความผิดปกติทางกาย เช่น โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก โรคพาร์กินสัน โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythymatosus) เป็นต้น
- ภาวะซึมเศร้าเป็นปฏิกริยาทางจิตใจที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติทางกาย เช่น ความผิดปกติของรูปร่าง (Disfigurement) ความพิการ (Disability) เป็นต้น
- ภาวะซึมเศร้าเป็นผลโดยตรงจากสารเสพติดยาที่ใช้รักษาความผิดปกติทางกาย เช่น แอลกอฮอล์ สารกระตุ้น (Stimulants) กัญชา ยาคุมกำเนิด ยาฆ่าเชื้อบางชนิด (เช่น Efavirenz) ยาลดความดันบางชนิด (Beta-blockers) เป็นต้น
- ระบบประสาทส่วนกลางมีความผิดปกติของการทำงานเชิงสรีรวิทยาและสมดุลของสารเคมี/สารสื่อประสาท ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้มีหลายส่วน เช่น
- ปัจจัยทางจิตสังคม
- การรับรู้ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง (Cognitive Distortions) สามารถทำให้เกิดความทุกข์ได้ ซึ่งการรับรู้ของมนุษย์นั้นจะมีกรอบความคิด (Cognitive Schemas) ที่จำเพาะตัวบุคคล ซึ่งกรอบความคิดดังกล่าวนั้นเกิดจากการประสบการณ์เก่าของเราที่สะสมมา ตัวอย่างของการรับรู้กลุ่มนี้ เช่น
- การมีมุมมอง 2 ด้านเท่านั้น เช่น ดีกับไม่ดี หรือ ขาวกับดำ เท่านั้น โดยไม่สามารถยอมรับการที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะมีทั้งด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดีได้ (Dichotomous Thinking) เช่น “ถ้าฉันสอบไม่ได้คะแนนเต็ม แปลว่าฉันเป็นคนไม่เก่ง”
- การมองอนาคตในแง่ร้ายตลอดเวลา หรือการทำนายอนาคตแบบภัยพิบัติ (Catastrophizing) เช่น “ถ้าฉันสอบไม่ได้เต็ม อนาคตฉันจะไม่สามารถหางานอะไรทำได้เลย”
- การเพิ่มคุณค่าหรือลดคุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง (Magnification and Minimization) เช่น “การสอบครั้งนี้จะตัดสินชีวิตของฉัน” และ “ถ้าฉันสอบไม่ได้คะแนนเต็มแปลว่าความพยายามที่ผ่านมาของฉันมันไม่มีคุณค่า” ตามลำดับ
- การแบกความรับผิดชอบที่นอกเหนือขอบเขตของตัวเอง หรือการแบกความรับผิดชอบที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง (Excessive Responsibility) เช่น “ฉันจะช่วยเพื่อนทำงานให้เสร็จก่อนที่จะเริ่มทำงานของตนเอง”
- เคยประสบเหตุการณ์หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้รู้สึกสะเทือนใจ เกิดความเครียดอาจเป็นเหตุการณ์รุนแรง เช่น การสูญเสียคนรัก คนใกล้ชิด หรือปัญหาการทำงาน การเรียน ปัญหาด้านความสัมพันธ์ เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจพบได้ในช่วงต้นของอาการเจ็บป่วย
- การรับรู้ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง (Cognitive Distortions) สามารถทำให้เกิดความทุกข์ได้ ซึ่งการรับรู้ของมนุษย์นั้นจะมีกรอบความคิด (Cognitive Schemas) ที่จำเพาะตัวบุคคล ซึ่งกรอบความคิดดังกล่าวนั้นเกิดจากการประสบการณ์เก่าของเราที่สะสมมา ตัวอย่างของการรับรู้กลุ่มนี้ เช่น
อาการของซึมเศร้าเรื้อรัง
ผู้ป่วยอาจรู้สึกเศร้า หดหู่ หงุดหงิด วิตกกังวล หรือรู้สึกว่างเปล่าเกือบตลอดเวลา เกือบทุกวันในสัปดาห์ เป็นอย่างน้อย และอาจพบร่วมกับอาการดังนี้
- สมาธิบกพร่อง หรือ มีความยากลำบากในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ
- เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง
- ความอยากอาหารน้อยลงหรือมากกว่าเดิม
- นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป
- ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง
- รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง
สำหรับผู้ใหญ่จะพบความผิดปกติของอารมณ์ข้างต้นร่วมกับอาการอื่น ๆ อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี และเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี สำหรับเด็กและวัยรุ่น
ทำแบบประเมินโรคซึมเศร้ากับพยาบาลที่แอป BeDee ไม่มีค่าใช้จ่าย
การวินิจฉัยซึมเศร้าเรื้อรัง
การสัมภาษณ์ประวัติและการตรวจสภาพจิตโดยจิตแพทย์จึงยังคงเป็นมาตรฐานหลักในการวินิจฉัยภาวะซึมเศร้าเรื้อรังรวมไปถึงโรคทางจิตเวชอื่น ๆ อีกด้วย (ยังไม่มีวิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือรังสีวิทยาที่ช่วยในการวินิจฉัยภาวะทางจิตเวช) นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่อยู่กับภาวะซึมเศร้าเรื้อรังมานาน อาจจะทำให้แยกได้ลำบากว่าอาการดังกล่าวเป็นตัวโรคหรือเป็นตัวตนของตัวเอง การสัมภาษณ์และตรวจสภาพจิตโดยแพทย์นั้นจะช่วยให้ผู้ป่วยได้ประเมินอาการตนเองและวางแผนการรักษาร่วมกันได้ดีขึ้น
โดยเกณฑ์การวินิจฉัยภาวะซึมเศร้าเรื้อรังในปัจจุบันนั้นจะใช้เกณฑ์ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, 5th Edition, Text Revision (DSM-V-TR) ซึ่งเป็นของสมาคมจิตแพทย์สหรัฐอเมริกา (American Psychiatric Association) และ International Classification of Disease, 11th Edition (ICD-11) ซึ่งเป็นขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization) โดยทั้งสองเกณฑ์นั้นจะมีข้อแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น โรคซึมเศร้าเรื้อรังจะถูกเรียกว่า Persistent Depressive Disorder และ Dysthymic Disorder ใน DSM-V-TR และ ICD-11 ตามลำดับ
แต่สิ่งที่ทั้งสองเกณฑ์การวินิจฉัยไม่แตกต่างกัน คืออาการซึมเศร้านั้นจะต้องทำให้เกิดความเป็นทุกข์อย่างมีนัยสำคัญ หรือ ทำให้เกิดข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวัน และเนื่องจากอาการซึมเศร้านั้นสามารถที่จะเกิดได้จากยา สารเสพติด และโรคทางกายบางชนิด ดังที่กล่าวไปข้างต้น จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการวินิจฉัยแยกโรคดังกล่าวออกไป และนอกจากสาเหตุที่กล่าวไปนั้น อาการซึมเศร้ายังอาจเกิดขึ้นจากภาวะทางจิตเวช เช่น กลุ่มความผิดปกติทางจิต (Psychotic Disorders) หรือ ความผิดปกติทางอารมณ์อื่นๆ (Cyclothymic Disorder, Bipolar Disorders) จึงจำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยแยกโรคดังกล่าวนั้นจากภาวะซึมเศร้าเรื้อรังเช่นกัน
โดยภาวะซึมเศร้าเรื้อรังเองนั้น ยังมีความจำเป็นต้องแยกชนิดและความรุนแรง เพื่อประกอบการวางแผนการรักษาอีกด้วย ภาวะซึมเศร้าเรื้อรังนั้นอาจมีชนิดที่รุนแรงไม่แตกต่างจากซึมเศร้าทั่วไป (Persistent Major Depressive Episode) หรือ มีชนิดที่แม้อาการไม่รุนแรงเท่าโรคซึมเศร้าทั่วไป แต่ระยะเวลาการคงอยู่กลับเรื้อรัง (Pure Dysthymic Syndrome) นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มภาวะซึมเศร้าเรื้อรังที่พบร่วมกับอาการทางจิตเวชอื่น ๆ เช่น มีภาวะวิตกกังวล มีอาการของกลุ่มโรคอารมณ์สองขั้ว หรือ มีอาการทางจิต (Psychotic Features) เป็นต้น
การรักษาซึมเศร้าเรื้อรัง
เพื่อให้การรักษาซึมเศร้าเรื้อรังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด การรักษานั้นจำเป็นต้องมีการร่วมวางแผนและทำงานร่วมกัน ระหว่างผู้ป่วย จิตแพทย์ ร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น นักจิตวิทยา นักกิจกรรมบำบัด เป็นต้นในบางกรณี โดยการรักษานั้นควรสอดคล้องไปกับแนวทางที่เป็นที่ยอมรับในสากลและมีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุน
ตัวอย่างแนวทางดังกล่าวนั้น คือ คำแนะนำจากแนวทางเวชปฏิบัติของสหราชอาณาจักร (National Institute of Health and Care Exellence Guideline หรือ NICE Guideline) ฉบับปี ค.ศ. 2022 ซึ่งระบุองค์ประกอบการรักษาภาวะซึมเศร้าไว้ดังนี้
- การรักษาทางจิตสังคม (Psychosocial Treatment)เช่น จิตบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy หรือ CBT)
- การรักษาด้วยยา (Pharmacological Treatment)
ในปัจจุบันการรักษาภาวะซึมเศร้าเรื้อรังนั้นมักใช้การรักษาควบคู่ด้วยยาและจิตบำบัด เนื่องจากผลของหลักฐานเชิงประจักษณ์ในปัจจุบันนั้นชี้ว่าการรักษาควบคู่กัน จะเพิ่มโอกาสการตอบสนองต่อการรักษา เพิ่มคุณภาพชีวิตและมีประสิทธิภาพคุ้มค่ามากกว่าการรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว
รักษาด้วยจิตบำบัด
การรักษาด้วยจิตบำบัด (Psychotherapy) เป็นการรักษาทางจิตสังคมชนิดหนึ่ง โดยจิตบำบัดมีได้ทั้งแบบเดี่ยว หรือแบบกลุ่ม นอกจากนั้นยังมีจิตบำบัดทางเลือกผ่านการฝึกปฏิบัติด้วยตนเองภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญ (Guided Self-Help) อีกด้วย
สำหรับชนิดของจิตบำบัดนั้นมีหลากหลายด้วยกัน ตัวอย่างเช่น จิตบำบัดแบบความคิดและพฤติกรรม (CBT) ซึ่งเป็นการทำงานบนทฤษฎีที่มองว่า “พฤติกรรมในเหตุการณ์ใดๆของมนุษย์เรานั้น สัมพันธ์กับการรับรู้หรือการตีความเหตุการณ์ดังกล่าวมากกว่าตัวเหตุการณ์เอง และบ่อยครั้งที่การรับรู้เหล่านั้นอาจไม่ตรงกันกับความเป็นจริง (Validity) หรือเป็นการตีความที่ไม่มีประโยชน์ (Usefulness)” โดยในจิตบำบัดแบบ CBT นั้น จะเป็นการร่วมกันค้นหาการรับรู้/การตีความดังกล่าว ตรวจสอบว่ามันตรงกับความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน และร่วมกันหาทางตอบสนองต่อการรับรู้/การตีความนั้นอย่างยืดหยุ่นมากขึ้น โดยในปัจจุบันจิตบำบัดแบบ CBT นั้น มีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับถึงประสิทธิภาพไม่ต่ำกว่า 2,000 การศึกษา
นอกจาก CBT แล้ว ยังมีจิตบำบัดอีกมากมายที่มีหลักฐานว่าสามารถช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าเรื้อรังได้ เช่น จิตบำบัดแบบสัมพันธภาพบุคคล (Interpersonal Therapy) การกระตุ้นพฤติกรรม (Behavioral Activation) หรือ การแก้ปัญหา (Problem-Solving Therapy) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จิตบำบัดในกลุ่มที่มีภาวะซึมเศร้าเรื้อรั้งนั้นอาจมีความจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาและจำนวนครั้งมากกว่าจิตบำบัดสำหรับโรคซึมเศร้าทั่วไป
รักษาด้วยยา
ปัจจุบันยาต้านเศร้ามีหลากหลายชนิดด้วยกัน และยาต้านเศร้ากลุ่มใหม่ ๆ นั้นมีผลข้างเคียงต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มยาในอดีต โดยมีหลักฐานสนับสนุนประสิทธิภาพของยาว่าสามารถช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้เทียบเท่าหรือไม่ด้อยไปกว่ากัน
สำหรับการเริ่มรักษาด้วยยาต้านเศร้านั้น จำเป็นที่จะต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ก่อนเริ่มรักษา เนื่องจากในการเลือกยานั้นต้องพิจารณาปัจจัยที่หลากหลาย อาทิ
- ลักษณะของโรค
- โรคร่วม
- ประวัติการตอบสนองและผลข้างเคียงจากยาต้านเศร้าในอดีต
- อันตรกิริยาของยา
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- ความง่ายในการบริหาร
- ราคาของยา
ก่อนการเริ่มต้นรักษาด้วยยานั้น จะต้องมีการหารือกันระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย เกี่ยวกับข้อบ่งใช้ของยา, ทางเลือกในการรักษา เช่น การรักษาด้วยจิตบำบัดควบคู่ ชนิดของยาต้านเศร้า ขนาดของยาที่ใช้ แนวทางกับปรับขนาดยาเบื้องต้น ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากยา ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมไปถึงความกังวลใด ๆ ของผู้ป่วยและครอบครัว
โดยยาต้านเศร้าที่ได้รับคำแนะนำให้เริ่มเป็นชนิดแรกคือยาในกลุ่ม Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRIs) ในหลายแนวทางเวชปฏิบัติ รวมไปถึง NICE Guideline ที่กล่าวถึงข้างต้นด้วย ซึ่งยากลุ่มนี้มีหลายชนิดด้วยกัน เช่น Fluoxetine Sertraline Escitalopram หรือ Paroxetine เป็นต้น ซึ่งถึงแม้ว่ายาทั้งหมดจะเป็นยาในกลุ่มเดียวกัน แต่ก็มีกลไกที่แตกต่างกันและมีข้อบ่งใช้ที่แตกต่างกันใน SSRIs แต่ละตัว
โดยยาในกลุ่ม SSRIs นั้น ถึงแม้ว่าจะถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเป็นยาต้านเศร้า แต่จริง ๆ แล้วมีการศึกษารองรับว่ายาดังกล่าวมีประสิทธิภาพในภาวะทางจิตเวชหลายอย่างด้วยกัน ดังจะเห็นได้จากข้อบ่งใช้ที่หลากหลายของยากลุ่ม SSRIs ซึ่งรับอนุมัติโดย USFDA (องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐเมริกา) โดยตัวอย่างของข้อบ่งชี้จาก USFDA เช่น โรควิตกกังวลไปทั่ว โรคแพนิค โรคย้ำคิดย้ำทำ กลุ่มอารมณ์ผิดปกติก่อนมีประจำเดือน หรือแม้แต่ความผิดปกติของการกินบางชนิด เป็นต้น
ถึงแม้ว่าผลข้างเคียงเช่น ปากแห้ง หลงลืม หรือ ท้องผูก จะพบได้น้อยใน SSRIs เมื่อเทียบกับยาต้านเศร้ากลุ่มก่อน ๆ (เช่น TCAs หรือ MAOIs) มาก แต่ SSRIs เองก็มีผลข้างเคียงได้เช่นกัน โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยของยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRIs นั้นอาทิ
- เวียน ปวดศรีษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
- ผลข้างเคียงทางเพศ ปัญหาความต้องการทางเพศที่ลดลง ปัญหาการแข็งตัว ปัญหาการหลั่ง/หล่อลื่น
- คุณภาพการนอนที่เปลี่ยนแปลง
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงมีความรุนแรงที่หลากหลาย ตั้งแต่ไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ เลย ไปจนเกิดผลข้างเคียงที่ทำให้ไม่สามารถทน (Tolerability) ต่อยาได้ โดยคนส่วนใหญ่มักมีอาการที่ไม่รุนแรงและเกิดอยู่ในระยะเวลาไม่นาน โดยผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักหายไปภายในระยะเวลาหน่วยสัปดาห์ ดังนั้น การใช้ยาต้านเศร้า จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการติดตามและตรวจประเมินอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ และในบางครั้งนอกจากการสัมภาษณ์ประวัติและตรวจร่างกาย อาจจำเป็นต้องมีการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมอีกด้วย
อย่างไรก็ตามในบางครั้ง SSRIs อาจไม่ได้ถูกเลือกเป็นยาชนิดแรกในการรักษาภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีคุณสมบัติที่รักษาบางกลุ่มอาการได้ดีกว่าชนิดอื่นๆ ตัวอย่างเช่น หากผู้ป่วยมีอาการหลงผิดหรือประสาทหลอนร่วมด้วย อาจพิจารณาการใช้ยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotics) ร่วมด้วย หรือ หากผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องการนอนเด่น อาจพิจารณาการใช้ยา Mirtazapine หรือ Agomelatine เป็นต้น
เนื่องจากกลไกของยาต้านเศร้านั้นจำเป็นต้องอาศัยการปรับสมดุลของสารเคมีและตัวรับในสมอง การตอบสนองของยาต้านเศร้านั้นจึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 3-4 สัปดาห์ ก่อนที่จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งผลลัพธ์ที่เต็มที่ของยาชนิดและขนาดที่ใช้นั้นจะเห็นได้ที่ 4-6 สัปดาห์ ซึ่งหากเกิดการตอบสนองไม่เพียงพอ อาจมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาการปรับขนาดยา เปลี่ยนชนิดยา ใช้ยาต้านเศร้าชนิดอื่นร่วม หรือเสริมด้วยยากลุ่มอื่น (Augmentation)
ปรึกษาการรักษาโรคซึมเศร้าเรื้อรังกับจิตแพทย์ที่แอป BeDee สะดวก เป็นส่วนตัว ไ่ม่ต้องเดินทาง