เริมที่ปากเกิดจากอะไร? รู้ทันสาเหตุ อาการ และวิธีรักษาเริมที่ปาก
“เริม” เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่อาจไม่รุนแรง แต่เมื่อติดเชื้อแล้วกลับสร้างผลกระทบได้อย่างมากมาย โดยเฉพาะการเป็นเริมที่ปาก ที่นอกจากจะทำให้เรารู้สึกรำคาญใจแล้ว ยังทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ อาย ไม่กล้าเจอใครเพราะกลัวโดนทักทุกครั้งที่ปากเป็นเริม
น้อยคนที่จะรู้ว่าการเป็นเริมที่ปากควรจะต้องดูแลตนเองยังไง ทำให้หลาย ๆ คน ยังคงวนเวียนอยู่กับการเป็นเริมที่ปากบ่อยมาก ทรมานกับอาการคันและแสบร้อนเป็นประจำ
พอแล้วกับการต้องเป็นเริมที่ปากซ้ำๆ BeDee จะพาคุณไปทำความเข้าใจกับเรื่องของเริมที่ปาก ตั้งแต่เริมที่ปากเกิดจากอะไร? อาการ วิธีการรักษา รวมไปจนถึงการดูแลตนเองไม่ให้กลับมาเป็นเริมที่ปากซ้ำอีก
เริมที่ปาก คืออะไร
เริมที่ปาก (Herpes Labialis หรือ Cold Sores) คือ โรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus Type 1 (HSV-1) เป็นส่วนใหญ่ จากข้อมูลโรคเริมสามารถพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี ประมาณ 3.7 พันล้านคนโดยการติดเชื้อไวรัสนี้ สังเกตเห็นได้ยากมาก บางคนอาจไม่มีอาการอะไรเลย รู้ตัวอีกทีก็จะเป็นตอนที่ภูมิต้านทานอ่อนแอลง ทำให้เริมขึ้นมาจนสังเกตเห็นได้ชัดเจน
รู้จักกับโรคเริมมากขึ้น: รวมทุกเรื่องเกี่ยวกับเริม โรคติดต่อที่ใครก็ไม่อยากเป็น
ลักษณะของเริมที่ปาก
ลักษณะเริมที่ปากของแต่ละคนอาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้นด้วย แต่โดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะให้สังเกตได้ ดังนี้
- ลักษณะของรอยโรคนั้นจะเป็นตุ่มน้ำใสขนาดเล็ก
- มักเกิดขึ้นเรียงตัวกันเป็นกลุ่มประมาณ 2-10 เม็ด
- บริเวณที่เกิดเริมมักอยู่รอบๆริมฝีปาก บนริมฝีปาก หรือขอบริมฝีปาก และสามารถพบได้ภายในช่องปาก ลิ้น หรือบนใบหน้าได้เช่นกัน
สาเหตุของเริมที่ปาก
หลาย ๆ คนอาจยังไม่รู้ว่าการที่ปากเป็นเริม สาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง จึงทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของเรามีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย ได้แก่
- สัมผัสกับเชื้อไวรัสเริมโดยตรง เช่น การสัมผัสผิวหนัง บาดแผล น้ำลาย น้ำเหลือง
- หากคู่ของเรามีเชื้อเริม การสัมผัส จูบ หรือการร่วมเพศทางปาก (oral sex) ก็อาจทำให้ติดเชื้อเริมที่ปากได้เช่นกัน
- ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับคนที่มีเชื้อไวรัสเริม เช่น แก้วน้ำ เครื่องสำอาง มีดโกน แปรงสีฟัน ช้อนส้อม
- กรณีที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ หากคนที่กำลังตั้งครรภ์ได้รับเชื้อเริม ก็จะมีโอกาสที่ในระหว่างการคลอด ทารกจะได้รับเชื้อเริมไปด้วย ซึ่งกรณีนี้ควรแพทย์ผู้ชำนาญการ เนื่องจากอาจเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้
อาการของเริมที่ปาก
สำหรับใครที่ไม่เคยเป็นเริมที่ปากมาก่อน แล้วอยากลองเช็คตัวเองดู หรือมีตุ่มเกิดขึ้นแต่ไม่มั่นใจว่าใช่เริมที่ปากรึเปล่า สามารถสังเกตอาการเริมที่ปากได้ดังนี้
- เกิดตุ่มน้ำพองขนาดเล็กขึ้นเป็นกลุ่ม
- บริเวณที่เกิดตุ่มคือ รอบริมฝีปาก บนริมฝีปาก หรือขอบริมฝีปาก
- รู้สึกคันหรือปวดแสบปวดร้อนที่บริเวณนั้นๆ
- สังเกตเห็นว่า เมื่อตุ่มน้ำแตกออก มีอาการลุกลามไปยังพื้นที่ใกล้เคียงมากขึ้น
- มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เป็นไข้ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองบวม หรืออาการคล้ายไข้หวัด
- บางรายอาจมีการกลับมาเป็นเริมที่ปากซ้ำที่บริเวณเดิม
ระยะการเกิดเริมที่ปาก
ระยะการเกิดเริมที่ปาก จะแบ่งออก 5 ระยะหลักๆ ได้แก่
- ระยะแรกเริ่มของเริมที่ปาก จู่ๆ คุณจะเริ่มรู้สึกแสบร้อนและคันบริเวณริมฝีปาก ตำแหน่งรอบ ๆ หรือบนริมฝีปากแบบไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นภายในประมาณ 1-2 วันก่อนเกิดตุ่มเริมที่ปาก
- ระยะที่ 2 มีตุ่มใสขนาดเล็ก สีแดงๆ พองออกมาจากผิวหนัง โดยมีลักษณะการเรียงตัวแบบกระจุกเป็นกลุ่ม รู้สึกคัน แสบร้อน และอาจเจ็บได้เมื่อสัมผัสกับเริมที่ปาก
- ระยะที่ 3 ตุ่มเริมที่ปากจะเริ่มแตกออก มีน้ำใส ๆ ออกมาจากตุ่มเริม รู้สึกแสบ จากนั้นตุ่มกลายเป็นแผล ซึ่งมีโอกาสที่เริมที่ปากจะลุกลามไปยังพื้นที่ใกล้เคียงด้วย
- ระยะที่ 4 จากตุ่มเริมที่ปากกลายมาเป็นแผลเริม แผลเริมจะเริ่มแห้ง มีการตกสะเก็ตและหลุดลอกออกไป คุณจะรู้สึกคันมาก แต่แนะนำว่าควรอดทนและไม่ควรเกาแผล เพราะอาจทำให้แผลแย่ลงกว่าเดิมได้
- ระยะที่ 5 แผลตกสะเก็ตหลุดลอกไปจนหมด แผลจางลงมาก ไม่มีอาการเริมที่ปากใดๆ เกิดขึ้น
นอกเหนือจากอาการที่กล่าวมา ในบางคนอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองบวม ฯลฯ ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยในกลุ่มคนที่เพิ่งเป็นเริมที่ปากครั้งแรก สำหรับคนที่เคยเป็นเริมแล้วอาจเป็นซ้ำได้อีกในตำแหน่งเดิมหรือตำแหน่งใหม่ก็ได้ การมีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ความเครียด การสัมผัสแสงแดด และเป็นไข้ นับเป็นปัจจัยกระตุ้นที่ให้เกิดการติดเชื้อซ้ำได้
อาการแทรกซ้อนของเริมที่ปาก
การเป็นเริมที่ปากอันตรายไหม? ถึงแม้ว่าเริมที่ปากจะเป็นโรคที่ไม่ได้รุนแรง แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้เช่นกัน
เริมที่ปากมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำพอง หากเราดูแลรักษาความสะอาดได้ไม่ดีพอ ก็อาจกลายเป็นตุ่มหนองได้ และเมื่อตุ่มเริมแตกออก ก็มีโอกาสที่จะเกิดการลุกลามของเชื้อไวรัสกระจายไปยังส่วนที่อยู่ใกล้เคียง
ยกตัวอย่างเช่น การที่เริมลุกลามไปใกล้บริเวณดวงตา หากเชื้อไวรัสเข้าไปในดวงตา มีความเสี่ยงที่จะเกิดการสูญเสียการมองเห็นได้
นอกจากนี้ เริมที่ปากก็ยังเกิดขึ้นในทารกหรือเด็กเล็กได้เช่นกัน และอาการรุนแรงเหมือนกับคนที่เป็นเริมที่ปากครั้งแรก หากสังเกตเห็นว่ามีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้สูง หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ฯลฯ ควรรีบเข้าพบแพทย์โดยเร็ว
เริมที่ปากติดต่อได้หรือไม่
เริมที่ปาก ติดต่อไหม? เริมที่ปากเป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่มาจากการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) จึงทำให้เริมที่ปากสามารถติดต่อได้
โดยช่องทางที่มักมีการแพร่กระจายเชื้อเป็นส่วนใหญ่คือ การสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้ที่มีเชื้อ เช่น สัมผัสโดยดื่มน้ำแก้วเดียวกัน การจูบหรือหอมแก้ม เป็นต้น ถึงแม้ว่าคนๆนั้นไม่มีแผลอะไรให้สังเกตเห็น ก็สามารถแพร่เชื้อไวรัสเริมได้เช่นกัน
การรักษาเริมที่ปาก
ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า “เริมที่ปาก” เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน แต่วิธีการรักษาที่มีอยู่จะเน้นไปที่การช่วยบรรเทาอาการ ลดความรุนแรงของโรค และช่วยทำให้แผลเริมที่ปากหายได้เร็วขึ้น ซึ่งวิธีรักษาเริมที่ปาก มีดังนี้
- ยาทาเริมที่ปาก เช่น ยาต้านไวรัส Herpes ในรูปแบบบรรเทาอาการแสบร้อนและเจ็บแผล
- ยาต้านไวรัสในรูปแบบรับประทาน ซึ่งขนาดยาและการเลือกใช้นั้นจะขึ้นกับอาการของผู้ป่วยและวินิจฉัยของแพทย์
- การดูแลตนเองเพิ่มเติม เช่น การประคบเย็นด้วยน้ำเกลือบริเวณที่เป็นเริม 5-10 นาที จะช่วยลดอาการระคายเคือง เป็นต้น
ปรึกษาเรื่องยารักษาเริมที่ปากกับเภสัชกรที่แอป BeDee ได้ทุกวันถึงเที่ยงคืน ไม่มีค่าปรึกษา!
การดูแลแผลเมื่อเป็นเริมที่ปาก
ในส่วนของการดูแลแผลเมื่อเป็นเริมที่ปากด้วยตนเอง สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ เพียงแค่
- ทานยาต้านไวรัสตามเวลาที่แพทย์แนะนำ
- ไม่แคะ แกะ เกา แผลเริม
- หมั่นทาขี้ผึ้งหรือครีมทาต้านไวรัส
หากมีโรคเครียด หรือมีความเครียดบ่อยๆ ต้องหาวิธีจัดการที่เหมาะสม เพราะความเครียดเป็นปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เริมคงอยู่
การป้องกันไม่ให้เป็นเริมที่ปาก
สำหรับคนที่ไม่อยากเป็นเริมที่ปาก ก็สามารถป้องกันตนเองได้ด้วยวิธีการเหล่านี้
- พยายามไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวปะปนกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ ผ้าขนหนู มีดโกนหนวด เป็นต้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- หากิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียดหรือความวิตกกังวล
- ออกกำลังกายเป็นประจำ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
- รักษาสุขอนามัยให้สะอาดอยู่เสมอ เช่น ล้างมือบ่อยๆ ไม่สัมผัสกับบาดแผลของคนอื่นโดยตรง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส จูบ หรือร่วมเพศทางปาก(Oral sex) กับคนที่มีเชื้อเริม
- ไม่อยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน
- นอกจากนี้อาจมีปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ ที่อาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น การมีประจำเดือน การเข้ารับการทำเคมีบำบัด(chemotherapy) การผ่าตัด การทำทันตกรรม เป็นต้น
เริมที่ปากกับโรคทางผิวหนังอื่น ๆ
เริมที่ปาก อาจมีลักษณะคล้ายกับโรคผิวหนังอื่นๆ ซึ่งคุณสามารถแยกความแตกต่างได้ ดังนี้
- ร้อนใน เกิดที่บริเวณปากเหมือนกัน แต่แตกต่างจากเริมที่ปากตรงที่มักจะเกิดภายในช่องปาก แผลขนาดเล็ก แบน ไม่สามารถติดต่อไปสู่คนอื่นได้
- โรคงูสวัด มีอาการแสบร้อนเหมือนกัน แตกต่างตรงที่โรคงูสวัดจะเกิดบริเวณผิวหนังตามเส้นประสาท
หากไม่มั่นใจว่าเป็นอะไรกันแน่? BeDee เรามีแอปฯ ที่บริการปรึกษาหมอออนไลน์โดยเฉพาะ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถเข้าพบแพทย์ได้แบบง่าย ๆ อีกทั้งยังมาพร้อมกับบริการสั่งซื้อยาออนไลน์ พร้อมปรึกษาเภสัชกรฟรี ต้องการยารักษาเร่งด่วน คุณภาพดีๆ ส่งเร็วไวภายใน 90 นาที สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Line Official : @BeDeebyBDMS
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเริมที่ปาก
เริมที่ปาก กี่วันจึงจะหาย?
เริมที่ปาก กี่วันหาย? โดยทั่วไปอาจใช้ระยะเวลาอยู่ที่ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและการดูแลรักษาความสะอาดด้วย
เริมที่ปากสามารถหายเองได้ไหม?
เริมที่ปาก หายเองได้ไหม? คำตอบก็คือ สามารถหายเองได้ โดยวิธีรักษาเริมที่ปากให้หายเร็วที่สุด คือ การดูแลตนเองแบบองค์รวม ทั้งการทานยาต้านไวรัส ทายาแผลเริม และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
สามารถแยกโรคเริมที่ปาก จากโรคปากนกกระจอกได้อย่างไร?
ปากนกกระจอกมักจะเกิดภาวะอักเสบ โดยสังเกตได้จากการบวมตึง มีรอยแดง รู้สึกระคายเคืองบริเวณมุมปาก
เป็นเริมที่ปากบ่อยมาก ต้องทำอย่างไร?
สังเกตพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเองและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดเริมซ้ำๆ
เริมที่ปาก ห้ามกินอะไร?
เป็นเริมที่ปากห้ามกินอะไร? ไม่ควรกินอาหารประเภทหมักดอง ปลาร้า ของที่มีรสเปรี้ยวหรือรสเผ็ด อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์