รวมทุกเรื่องเกี่ยวกับเริม โรคติดต่อที่ใครก็ไม่อยากเป็น
จู่ๆ ก็มีตุ่มน้ำใสขนาดเล็กขึ้นที่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศหลายจุด รู้สึกปวดแสบปวดร้อน บางครั้งก็ลุกลามไปยังพื้นที่ใกล้เคียง หากกำลังมีอาการเหล่านี้อยู่ อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะนี่อาจเป็นอาการของ “โรคเริม”
เริม (Herpes simplex) เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะช่วงที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ทำให้คนที่ได้รับเชื้อเริมมีอาการแสดงออกมา
ถึงแม้ว่าเริมจะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ก็อาจทำให้รู้สึกรำคาญหรือความมั่นใจลดลงได้ ฉะนั้น BeDee จะมาตอบทุกข้อสงสัยว่า เริมเกิดจากอะไร? เป็นเริมหายเองได้ไหม? ถ้าเป็นแล้วจะต้องรักษาเริมอย่างไร?
เริมคืออะไร
เริม (herpes simplex) คือ โรคติดต่อทางผิวหนังที่มาจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสเริมโดยตรง เช่น การสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มาจากตุ่มเริม การใช้ภาชนะหรือสิ่งของส่วนตัวร่วมกัน หรือจากการมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
เมื่อติดเชื้อเริม ผู้ที่ได้รับเชื้อจะยังไม่มีอาการใดๆ จนกระทั่งช่วงที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงหรือมีปัจจัยอื่น ๆ มากระตุ้น เช่น เป็นโรคเครียด เหนื่อยล้า เจ็บป่วย ฯลฯ ก็จะทำให้เริมเริ่มแสดงอาการออกมา ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการน้อยมากจนแพร่เชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
อาการของเริม
คนที่เป็นโรคเริม อาการแสดงที่เห็นได้ชัดเจนจะมีลักษณะ ดังนี้
- มีตุ่มน้ำพอง หรือเกิดแผลพุพองที่ผิวหนัง โดยเฉพาะรอบริมฝีปาก บนริมฝีปาก หรืออวัยวะเพศ
- รู้สึกแสบร้อนที่แผล
- สังเกตเห็นว่า เมื่อตุ่มพองแตกออก เริมมีการลุกลามไปยังพื้นที่ใกล้เคียง
- บางคนที่ไม่เคยเป็นเริมมาก่อน อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เป็นไข้ รู้สึกปวดเมื่อยตัว ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองบวม อ่อนเพลีย หรืออาการคล้ายไข้หวัด
- เริมสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เพียงแต่การเป็นเริมในครั้งถัดๆไป จะมีความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นน้อยกว่าการเป็นเริมครั้งแรก
ปรึกษาอาการเริมกับคุณหมอที่แอป BeDee สะดวก เป็นส่วนตัว ไม่ต้องเดินทาง ไม่มีค่าจัดส่งยา
ประเภทของเริม
โดยทั่วไป เชื้อไวรัสเริมจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
1. Herpes Simplex Virus ชนิดที่ 1: HSV-1
เชื้อ herpes simplex virus ชนิดที่ 1 คือ เชื้อที่มักแพร่กระจายด้วยการสัมผัสทางปาก ซึ่งจากข้อมูลองค์การอนามัยโลก(WHO) พบว่า คนที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี ประมาณ 3.7 พันล้านคนทั่วโลก(คิดเป็น 67%) มีการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดนี้
โดยคนที่ได้รับเชื้อเริมชนิดที่ 1 มีโอกาสที่จะเกิดอาการแสดงของเริมในตำแหน่งที่สูงกว่าเอวขึ้นไป บริเวณที่พบบ่อย ได้แก่ ภายในช่องปาก บนริมฝีปาก รอบริมฝีปาก จมูก และใบหน้า
2. Herpes Simplex Virus ชนิดที่ 2: HSV-2
ส่วนเชื้อ HSV ชนิดที่ 2 คือ เชื้อที่มักมีการแพร่กระจายผ่านทางเพศสัมพันธ์ จากข้อมูลองค์การอนามัยโลก(WHO) แสดงให้เห็นว่า คนที่มีอายุ 15-49 ปี ประมาณ 491 ล้านคนทั่วโลก(คิดเป็น 13%) ติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 นี้
ผู้ที่ติดเชื้อเริมชนิดที่ 2 มักจะมีอาการแสดงของเริมที่ตำแหน่งต่ำกว่าเอว โดยบริเวณที่มักพบบ่อย ได้แก่ อวัยวะเพศ ช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก บั้นท้าย หรือถุงอัณฑะ เป็นต้น ซึ่งการมีเชื้อไวรัสชนิดนี้ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการได้รับและแพร่เชื้อเอชไอวีมากขึ้น
บริเวณการเกิดเริม
อ่านมาจนถึงจุดนี้ หลายๆคนก็คงเริ่มรู้สึกกังวล อยากตรวจสอบว่าตัวเองเป็นอยู่รึเปล่า งั้นเราลองมาดูกันดีกว่าว่า เริม ขึ้นที่ไหนได้บ้าง?
เริมที่ปาก
เริมที่ปาก มักมาจากเชื้อไวรัส HSV ชนิดที่ 1 เป็นหลัก สามารถพบได้บ่อยทั้งบริเวณภายในช่องปาก บนริมฝีปาก และรอบๆ ริมฝีปาก มีอาการที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน ซึ่งหากเป็นเริมที่ปาก จะมีลักษณะเป็นตุ่มใสขนาดเล็กขึ้นเป็นกลุ่ม ให้ความรู้สึกคัน แสบร้อน และซ่าๆ
หลังจากนั้นเมื่อตุ่มพองแตกออก เริมก็จะเริ่มหายไป ซึ่งเริมที่ปากส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาอยู่ที่ 2-3 สัปดาห์
เริมที่อวัยวะเพศ
เริมที่อวัยวะเพศ ส่วนใหญ่มาจากเชื้อไวรัส HSV ชนิดที่ 2 มักมีระยะเวลาในการเป็นเริมอยู่ที่ 2-6 สัปดาห์ โดยสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง ซึ่งบริเวณที่พบบ่อย ได้แก่…
เริมที่อวัยวะเพศหญิง
เริมที่อวัยวะเพศหญิง มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณรอบอวัยวะเพศ ช่องคลอด ปากมดลูก ซึ่งจะมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำพองขนาดเล็กๆ มีอาการคัน แสบร้อน บวมแดง และเป็นไข้ นอกจากนี้ หากกรณีเป็นที่ภายในอวัยวะเพศ ก็อาจทำให้ลักษณะของตกขาวเกิดการเปลี่ยนแปลงไปได้
เริมที่อวัยวะเพศชาย
เริมที่อวัยวะเพศชาย มักจะเกิดขึ้นบริเวณรอบอวัยวะเพศและถุงอัณฑะ ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกันคือ มีตุ่มน้ำพองที่ทำให้เกิดอาการแสบร้อน คัน และเป็นไข้ เมื่อปัสสาวะก็อาจทำให้เกิดอาการปวดหรือแสบบริเวณนั้นได้
เริมที่เกิดส่วนอื่น ๆ
บริเวณอื่นๆ ก็มีโอกาสเกิดเริมได้เช่นกัน เพียงแต่จะมีโอกาสเกิดน้อยกว่า โดยนอกจากเริมที่ปากและเริมที่อวัยวะเพศแล้ว ยังสามารถเกิดขึ้นได้ที่บริเวณจมูก รอบดวงตา คอ บั้นท้าย และทวารหนักได้อีกด้วย ซึ่งก็จะมีลักษณะที่คล้ายๆ กัน เพียงแต่ต้องระมัดระวังไม่ให้เชื้อลุกลามไปยังอวัยวะสำคัญ เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
สาเหตุของเริม
อย่างที่เรารู้กันว่า เริมเป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่ถือว่าเป็นภัยเงียบ เพราะผู้ที่ได้รับเชื้อเกือบทุกคน ไม่มีอาการแสดงและมักไม่รู้ตัวว่าได้รับเชื้อมาตอนไหน รวมถึงผู้ที่แพร่กระจายเชื้อก็มักไม่รู้ตัวด้วยเช่นเดียวกัน
แล้วแบบนี้ เริมเกิดจากอะไรได้บ้าง? มาดูและสังเกตพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราไปพร้อมๆ กัน
- โรคเริม สาเหตุหลักมาจากการที่เราสัมผัสกับเชื้อโดยตรง ซึ่งเชื้อมักจะอยู่ตามบาดแผล น้ำเหลือง น้ำลาย หรือจากการมีเพศสัมพันธ์
- การไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดหรือทวารหนัก
- การใช้ภาชนะหรือสิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้ที่มีเชื้อเริม เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม แปรงสีฟัน เป็นต้น
- สำหรับสตรีที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์แล้วเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ ทารกจะมีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อระหว่างการคลอด
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากโรคเริม
ถึงแม้ว่าเริมจะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ ดังนี้
- เชื้อเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ HIV เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
- หากดูแลความสะอาดไม่ดี ตุ่มน้ำพองมีโอกาสกลายเป็นหนองได้
- เมื่อเชื้อเริมเกิดการลุกลามไปยังอวัยวะสำคัญ อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เช่น เชื้อเริมลุกลามบริเวณดวงตา อาจอันตรายถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น
- ทารกแรกเกิดที่ได้รับเชื้อโรคเริมขณะคลอด อาจเสี่ยงต่อความบกพร่องทางระบบประสาทหรือเสียชีวิตได้
- กรณีที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก คือ โรคเริมจาก HSV-1 ทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบหรือโรคกระจกตาอักเสบ ส่วนโรคเริมจาก HSV-2 ก็อาจทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบได้เช่นกัน
เริมสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่?
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดจากโรคเริม จึงทำให้เชื้อไวรัสเริมยังคงฝังอยู่ในปมประสาทและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีกได้ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมียาที่ช่วยลดระดับความรุนแรงและควบคุมการลุกลามของเชื้อเริมได้
สำหรับคนที่เป็นเริมบ่อยมากๆ แนะนำว่า ให้ลองสังเกตตนเองและพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเริมหรือระมัดระวังเท่าที่จะสามารถทำได้ ได้แก่
- การเจ็บป่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยเล็กน้อย หรือการเจ็บป่วยรุนแรง
- ความเหนื่อยล้าทางร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงการหักโหมมากจนเกินไป
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- สภาวะอารมณ์ ความเครียด ความวิตกกังวล ฯลฯ
- การบาดเจ็บหรือมีการผ่าตัด
- การใช้ยาหรือการรักษาที่มีการกดภูมิคุ้มกัน เช่น การทำเคมีบำบัด การใช้ยาสเตียรอยด์
- การมีประจำเดือน
การตรวจและวินิจฉัยเริม
การตรวจวินิจฉัยเริม ในเบื้องต้น แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจดูลักษณะตุ่มน้ำที่พุพอง และสอบถามเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้น จากนั้นจะทดสอบเพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสเริมและชนิดของเริม เช่น การทดสอบด้วย PCR Test (Polymerase chain reaction) การเพาะเลี้ยงเชื้อเพื่อตรวจสอบตัวอย่างไวรัสเริม หรือการตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างมาต้านทานเชื้อไวรัสเริม
วิธีรักษาเริม
ถ้าตรวจพบว่าเป็นเริมรักษาอย่างไรได้บ้าง? โรคเริม วิธีรักษาหลักๆ คือ การบรรเทาอาการ ลดระดับความรุนแรงของโรค และควบคุมไม่ให้เกิดการลุกลามหรือแพร่กระจายของเชื้อ โดยการใช้วิธีการรักษาเริม ดังนี้
- ใช้ยาต้านไวรัสรูปแบบทานและรูปแบบทาในการรักษา
- อาจพิจารณาจ่ายยาอื่นๆ เพิ่มเติม ในกรณีที่มีอาการอื่นร่วมด้วย
- หากเป็นเริมในช่องปาก สามารถใช้เครื่องดื่มเย็นหรือทานไอศกรีม เพื่อบรรเทาอาการได้
- กรณีเป็นเริมที่อวัยวะเพศ อาจใช้วิธีการอาบน้ำอุ่น แช่น้ำอุ่น หรือสวมเสื้อผ้าหลวมๆ เพื่อบรรเทาอาการปวด
- ควบคุมความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อเริม ด้วยการปรับพฤติกรรม เช่น การพูดคุยกับคู่เกี่ยวกับเรื่องเริม การสวมถุงยางอนามัยป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์ การไม่ใช้ภาชนะหรือสิ่งของส่วนตัวร่วมกัน
ยารักษาเริม
สำหรับยารักษาเริม โดยปกติแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ ยารักษาเริมแบบรับประทาน และยาทาเริม
ยารักษาเริมแบบรับประทาน จะมีการพิจารณาจ่ายยาต้านไวรัส ซึ่งแนะนำให้ทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีอาการ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อเริม
หากมีอาการอื่นๆ ร่วม เช่น มีไข้ ปวดบริเวณตุ่มพอง อักเสบ อาจต้องทานยาบรรเทาอาการปวด ได้แก่ พาราเซตามอล(Paracetamol) นาพรอกเซน(Naproxen) หรือไอบูโพรเฟน(Ibuprofen) ร่วมด้วย
นอกจากนี้ ยังมียาทาเริมที่ใช้ทาลงบนตุ่มเริม เพื่อลดอาการปวดและทำให้ตุ่มพองแห้งเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งมักจะมีลักษณะเป็นเนื้อครีม โดยยาทาที่นิยมใช้ เช่น เบนโซเคน (Benzocaine) เพื่อบรรเทาอาการปวด และยาต้านไวรัสชนิดทา
ปรึกษาการใช้ยารักษาเริมกับเภสัชกรที่แอป BeDee ได้ทุกวันถึงเที่ยงคืน! ไม่มีค่าปรึกษา จัดส่งสินค้าถึงบ้าน