โรคเครียดสะสม ภัยเงียบอันตรายที่มักจะมาโดยไม่รู้ตัว
ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นวัยเรียน วัยทำงาน ต้องพบเจอสถานการณ์หลากหลายรูปแบบ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่อาจทำให้ได้รับแรงกดดัน จนเกิดเป็นความเครียดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในแต่ละกรณีก็อาจจะมีวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไป แต่หากเป็นความกดดันที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ และไม่สามารถสลัดความกังวลออกไปได้จนมีอาการเครียดไม่รู้ตัวเป็นระยะเวลานาน อาจกลายเป็นโรคเครียดสะสมที่ก่อให้เกิดภาวะอื่น ๆ ตามมาได้
หากสงสัยว่าตัวเรากำลังมีความเครียดสะสมอยู่หรือไม่ มีอาการอะไรเข้าข่ายที่จะเป็นโรคนี้บ้าง มีวิธีรักษาโรคเครียดสะสมอย่างไร บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจและรู้จักกับโรคเครียดสะสมว่ามีสาเหตุมาจากอะไร อาการของคนเครียดสะสมเป็นยังไง และจะสามารถรักษาได้อย่างไร มาเช็กดูกันเลย
ทำความรู้จักกับโรคเครียดสะสม
โรคเครียดสะสม (Adjustment Disorder) เป็นโรคทางอารมณ์ที่เกิดจากการได้รับความกดดันจากสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการเรียน, การงาน, การเงิน, ในครอบครัว, เพื่อน, คนรัก, ความผิดหวังในเรื่องต่าง ๆ จนเกิดเป็นความเครียด ความเครียดอาจแสดงออกเป็นความวิตกกังวล ความเศร้า คิดวนเวียนกับเรื่องเดิมซ้ำ ๆ สลัดความเครียดออกไปไม่ได้ ความสามารถในการคิดและตัดสินใจแย่ลง จนนับไปสู่การดำเนินชีวิตที่ผิดปกติ เรียนหรือทำงานได้แย่ลง รวมทั้งบางครั้งอาจมีอาการทางกาย มีปัญหาสุขภาพบ่อยครั้งทั้งที่ปกติเป็นคนแข็งแรง
นอกจากความเครียดจากภายนอก พฤติกรรมและทัศนคติของตนเองอาจส่งผลให้เกิดเป็นความเครียดสะสมได้ เช่น การกดดันตนเอง โดยที่ครอบครัวหรือคนรอบตัวอาจไม่ได้กดดันเลย มีความคาดหวังในตัวเองสูง มีบุคลิกแบบเพอร์เฟคชันนิสต์ หรือบุคลิกสมบูรณ์แบบโดยไม่ยืดหยุ่น สามารถทำให้ย้ำคิดย้ำทำในเรื่องที่กำลังทำซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นภาวะเครียดสะสมที่ไม่สามารถทำให้ไปถึงจุดที่ตัวเองพอใจได้
ซึ่งโรคเครียดสะสมนี้สามารถนำไปสู่โรคที่มีภาวะทางอารมณ์อื่น ๆ รวมถึงโรคทางร่างกายได้ หากอาการรุนแรงก็จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อตนเอง และคนรอบข้างตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้าง ดังนั้น หากเริ่มมีอาการเครียดต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ควรสำรวจตัวเอง หรือปรึกษาแพทย์ว่ากำลังเข้าข่ายที่จะมีภาวะเครียดสะสมหรือไม่
สัญญาณที่กำลังบอกว่าคุณเป็นโรคเครียดสะสม มีอะไรบ้าง
หากกำลังเริ่มสังเกตตัวเองว่ามีความเครียดสะสมจนมากเกินกว่าปกติ ซึ่งอาการเหล่านั้นอาจกลายเป็นโรคเครียดไม่รู้ตัวได้ ดังนั้นในหัวข้อนี้ Bedee แนะนำให้คุณสังเกตตนเองว่ามีอาการซึ่งเป็นสัญญาณของโรคเครียดสะสมเหล่านี้หรือไม่
พฤติกรรมเปลี่ยนไป
เมื่อเกิดอาการเครียดสะสม พฤติกรรมที่แสดงออกผ่านอารมณ์ก็จะเปลี่ยนไป เช่น ปกติเป็นคนร่าเริง สดใส มองโลกในแง่ดี อาจกลายเป็นคนนิ่ง เงียบ ไม่พูด ทั้งที่อาจจะไม่ได้มีเรื่องกระทบจิตใจในวันนั้น ๆ มีอาการเบื่อง่าย ขี้กังวลมากกว่าเดิม ความต้องการทางเพศลดลง เหม่อลอย มักจะแสดงสีหน้าเศร้า หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน บางคนอาจมีอาการดึงผมตัวเอง กัดเล็บ ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะทำโดยที่ไม่รู้ตัว
ในกรณีของคนที่ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ ก็อาจจะดื่มและสูบบุหรี่มากขึ้น หากไม่รีบแก้ไขอาจทำให้เกิดอาการติดสุรา และสูบบุหรี่เรื้อรังจนเลิกได้ยากขึ้น
พฤติกรรมการนอนไม่เหมือนเดิม
ลองสังเกตตัวเองว่านอนหลับยากขึ้น มีอาการนอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไปหรือไม่ รวมถึงการตื่นนอนกลางดึกบ่อย ๆ หรือตื่นเร็วกว่าปกติ ซึ่งนอกจากปัญหาเหล่านี้จะเป็นอาการความเครียดสะสมแล้ว ยังเป็นปัญหาที่นำไปสู่โรคนอนไม่หลับที่จะส่งผลต่อสุขภาพมากมายอีกด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, ภูมิคุ้มกันต่ำ, การเจ็บป่วยง่ายขึ้น เป็นต้น
ความเครียดเริ่มส่งผลต่อร่างกาย
เมื่อเครียดสะสมมาก ๆ สามารถส่งผลต่อร่างกายได้เช่นกัน เนื่องจากความเครียดมีความเกี่ยวข้องกับระบบประสาทและฮอร์โมน ดังนั้นระบบต่าง ๆ ในร่างกายซึ่งถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติก็จะได้รับผลกระทบ แสดงออกมาเป็นอาการเช่น การหายใจลำบาก หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจถี่ขึ้น หัวใจเต้นเร็ว ปวดหัว ในบางคนอาจปวดหัวเรื้อรัง สมองล้า สายตาเบลอ
นอกจากนี้ความเครียดอาจทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งจนทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดคอบ่าหลัง มีปัญหาลำไส้หดเกร็ง ปวดท้อง ท้องร่วงหรือท้องผูกบ่อยกว่าปกติ และอาเจียน รวมถึงการกินที่มากกว่าปกติ หรือเบื่ออาหาร ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว
ความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ ลดลง
ความเครียดนั้นส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาท ดังนั้นนอกจากจะแสดงออกในด้านพฤติกรรมทางร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อความสามารถในการทำงานหรือการตัดสินใจด้วย เช่น ทำงานช้าลง, ความสามารถในการตัดสินใจรับมือ การแก้ปัญหาลดลงจนส่งผลให้ทำงานผิดพลาด, ขี้ลืม, ไม่มีแรงบันดาลใจ, ไม่มีสมาธิ หรือจับจุดโฟกัสได้ยาก
เริ่มคิดถึงเรื่องความตาย
อาการเครียดสะสมนั้นจะเต็มไปด้วยความกังวล ความคิดในแง่ลบมากมาย จนอาจส่งผลให้มีการคิดถึงเรื่องความตาย ซึ่งนำไปสู่อาการซึมเศร้าเรื้อรังได้
หากพบว่าตัวเองมีอาการดังนี้ต่อเนื่อง หรือเป็น ๆ หาย ๆ เป็นระยะเวลานาน ควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ทันที เพราะยิ่งรู้ตัวเร็วยิ่งเป็นผลดีต่อตนเองและป้องกันโรคอื่น ๆ ตามมาด้วย
ทำแบบประเมินความเครียดกับพยาบาลที่แอป BeDee ไม่มีค่าใช้จ่าย
เครียดสะสมนำไปสู่โรคอะไรได้บ้าง
โรคเครียดสะสมเป็นภาวะทางอารมณ์ซึ่งมีอาการที่คล้ายกัน การที่เราเครียดสะสมเป็นระยะเวลานานจึงสามารถนำไปสู่โรคอื่น ๆ ทางอารมณ์ได้ รวมถึงพฤติกรรมต่าง ๆ และอาการเจ็บปวดทางร่างกายก็จะส่งผลให้เกิดโรคทางกายเพิ่มเติมได้เช่นกัน ซึ่งในบางโรคอาจส่งผลในระยะยาว จนถึงอันตรายต่อชีวิตได้
โรคทางอารมณ์ที่อาจเกิดจากอาการเครียดสะสม
- โรควิตกกังวล(Anxiety Disorder)
- โรคแพนิค (Panic Disorder)
- โรคกลัว (Phobia) เช่น กลัวการเข้าสังคม (Social Phobia)
- โรคซึมเศร้า (Depression)
โรคทางกายที่อาจเกี่ยวข้องกับอาการเครียดสะสม
- โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
- โรคเครียดลงกระเพาะ (Nervous stomach)
- โรคหัวใจ (Heart Disease)
- โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)
- โรคไมเกรน (Migraine)
- โรคมะเร็ง (Cancer)
- โรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)
- หลอดเลือดหัวใจตีบ (Angina Pectoris)
- กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Ischemic Cardiomyopathy)
- โรคอ้วน (Obesity)
- โรคเบาหวาน (Diabetes)
โรคทางกายเหล่านี้อาจเกิดขึ้นผ่านกระบวนการที่ความเครียด หรือการเพิ่มขึ้นของสารความเครียด ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันต่ำลง เปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในร่างกาย หรือการกินที่ไม่เหมาะสม การเผาผลาญและการหลั่งกรดเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ความเครียดอาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมแก้เครียด เช่น ดื่มเหล้า หรือสูบบุหรี่ ซึ่งสัมพันธ์กับโรคได้หลายโรค
วิธีรักษาโรคเครียดสะสม
โรคเครียดสะสมนั้นสามารถรักษาได้ หากพบว่าตัวเองมีอาการเข้าข่ายโรคเครียดสะสม แนะนำว่าควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับแนวทางการรักษา โดยวิธีรักษาโรคเครียดสะสมมีดังนี้
ยา
ยาที่ใช้รักษาโรคเครียดสะสมนั้น จะแบ่งไปตามการวินิจฉัยอาการของผู้ป่วย เช่น ยาลดความวิตกกังวล ยาต้านเศร้า ยานอนหลับสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการนอนหลับ และในกรณีของผู้ป่วยที่มีอาการทางร่างกายด้วย แพทย์อาจใช้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดกรดในกระเพาะ, ยาความดันโลหิต, ยาคลายกล้ามเนื้อ, ยารักษาความแปรปรวนในทางเดินอาหาร เป็นต้น
แต่การใช้ยารักษานั้นเป็นการรักษาด้วยปลายเหตุ จะใช้ในกรณีอาการรุนแรงที่เริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน โดยการใช้ยาจะต้องควบคู่กับการรักษาโดยจิตบำบัดเพื่อให้การรักษาสามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุได้ด้วย
จิตบำบัดกับจิตแพทย์
การปรึกษาจิตแพทย์เป็นหนึ่งในวิธีรักษาอาการเครียดสะสม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในปัจจุบันที่เราจะเข้ารับการปรึกษากับจิตแพทย์ เพราะผู้ป่วยจะได้พูดคุย ระบาย ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อมีคนรับฟังปัญหาและช่วยหาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เจอไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่อาการค่อนข้างรุนแรงและมีโรคซึมเศร้าแทรกซ้อนด้วย อาจจะใช้การกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้ากระแสตรงอย่างอ่อน เพื่อให้การหลั่งของสารสื่อประสาทในสมองทำงานปกติ
ปรึกษาการรักษาโรคเครียดสะสมกับจิตแพทย์และนักจิตวิทยาที่แอป BeDee สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องลางาน เป็นส่วนตัว